การจัดระเบียบทางสังคม(SocialOrganization)
ความหมายและความสำคัญของการจัดระเบียบทางสังคม
การจัดระเบียบทางสังคมชี้ไปถึงการกระทำร่วมกันอย่างสงบในหมู่ชนที่แตกต่างกันในสังคม
คนส่วนมากทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายที่เป็นอุปสรรคและการยอมรับตามบทบาทและตำแหน่งอันมีอยู่
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม นอกจากนั้น
สมาชิกของสังคมควรมีรูปแบบในจุดประสงค์ จุดมุ่งหมาย และแผนต่าง ๆ ร่วมกัน
ตามความเห็นของ Ogburn and Nimkoff “การจัดระเบียบทางสังคมเป็นการรวมส่วนที่แตกต่างกันของคนให้ปฏิบัติหน้าที่กันเป็นกลุ่ม
การกระทำที่คิดขึ้นเพื่อการได้มาบางสิ่งที่เราทำ”
ความสำคัญของการจัดระเบียบทางสังคม
มนุษย์กับสังคมเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป กล่าวคือ
เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นในโลก มนุษย์ก็ได้รวมอยู่เป็นสังคม
แต่เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น
จึงมีความจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบทางสังคม
เพื่อควบคุมแบบแผนแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ หากปล่อยให้มนุษย์แต่ละคนทำการตามอำเภอใจโดยปราศจากการควบคุมแล้ว
สังคมก็ย่อมจะเกิดความปั่นป่วนยุ่งเหยิงและขาดระเบียบแบบแผน ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อสังคมจะเกิดสันติสุข
สิ่งที่น่าจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบทางสังคม ก็คือ
1) บรรทัดฐานทางสังคม (Norm)
2) สถานภาพ (Status)
3) บทบาท (Role)
4) การควบคุมทางสังคม
บรรทัดฐานของสังคม (Norm)
บรรทัดฐาน คือ ระเบียบหรือแบบแผนแห่งพฤติกรรมซึ่งเกิดจากการปฏิบัติตามนิยามของสังคมนั้น
ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง ได้อธิบายว่า “บรรทัดฐาน หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ แบบพฤติกรรม หรือคตินิยมที่สังคมวางได้ เพื่อกำหนดแนวทางสำหรับบุคคลยึดถือปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ การที่สมาชิกในสังคมมีการติดต่อสัมพันธ์กันราบรื่น ก็เพราะแต่ละฝ่ายต่างปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่ทุกคนมีความเข้าใจร่วมกัน ทำให้เกิดความแน่นอนและความเป็นระเบียบในชีวิตสังคม
ตามความเห็นของ ดร. ไพฑูรย์ เครือแก้ว “บรรทัดฐาน คือ ตัวกำหนด พฤติกรรมหรือกริยา (Action) ในชีวิตประจำวันของคนในสังคม หมายความว่า บรรทัดฐานจำเป็นต้องแสดงมาตรฐานหรือบ่งบอกมาเลยว่าในสถานการณ์หรือ เหตุการณ์เฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลนั้น เขาควรจะปฏิบัติหรือ มีกิริยาอาการเช่นใดบ้าง”
บรรทัดฐาน คือ ระเบียบหรือแบบแผนแห่งพฤติกรรมซึ่งเกิดจากการปฏิบัติตามนิยามของสังคมนั้น
ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง ได้อธิบายว่า “บรรทัดฐาน หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ แบบพฤติกรรม หรือคตินิยมที่สังคมวางได้ เพื่อกำหนดแนวทางสำหรับบุคคลยึดถือปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ การที่สมาชิกในสังคมมีการติดต่อสัมพันธ์กันราบรื่น ก็เพราะแต่ละฝ่ายต่างปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่ทุกคนมีความเข้าใจร่วมกัน ทำให้เกิดความแน่นอนและความเป็นระเบียบในชีวิตสังคม
ตามความเห็นของ ดร. ไพฑูรย์ เครือแก้ว “บรรทัดฐาน คือ ตัวกำหนด พฤติกรรมหรือกริยา (Action) ในชีวิตประจำวันของคนในสังคม หมายความว่า บรรทัดฐานจำเป็นต้องแสดงมาตรฐานหรือบ่งบอกมาเลยว่าในสถานการณ์หรือ เหตุการณ์เฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลนั้น เขาควรจะปฏิบัติหรือ มีกิริยาอาการเช่นใดบ้าง”
บรรทัดฐานเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ในสังคมหนึ่ง
ๆ ปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติตามคตินิยมของสังคมนั้น ๆ
จนกลายเป็นระเบียบแบบแผนหรือประเพณีนิยม คตินิยม
มักมีรากฐานสำคัญมาจากลัทธิความเชื่อถือในทางศาสนา ตัวอย่างเช่น
สังคมหนึ่งอาจมีประเพณีฆ่าแพะบูชาพระเจ้า ทำให้เกิดบรรทัดฐานดังกล่าวขึ้น
นอกจากนั้น ค่านิยมก็เป็นรากฐานสำคัญอันเป็นที่มาของบรรทัดฐาน เช่น
สังคมไทยมีค่านิยมทางยกย่องเคารพนับถือผู้ใหญ่ ก็ทำให้เกิดการนับถือผู้ใหญ่
และการที่มนุษย์ปฏิบัติตามบรรทัดฐานก็เพราะมนุษย์ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ
ที่ได้มีชีวิตอยู่ในสังคมนั้น
ประเภทของบรรทัดฐาน
การจำแนกประเภทของบรรทัดฐานทางสังคมวิทยานั้น แยกเป็น 3 ประเภท คือ
1) วิถีประชา (Folkways)
2) วินัยแห่งจรรยา (Mores)
3) กฎหมาย (Laws)
1) วิถีประชา (Folkways)
ประเภทของบรรทัดฐาน
การจำแนกประเภทของบรรทัดฐานทางสังคมวิทยานั้น แยกเป็น 3 ประเภท คือ
1) วิถีประชา (Folkways)
2) วินัยแห่งจรรยา (Mores)
3) กฎหมาย (Laws)
1) วิถีประชา (Folkways)
เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติหน้าที่
ไม่ค่อยมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากนัก มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่มนุษย์ในสังคมหนึ่ง
ๆ ได้ปฏิบัติกันทุกวี่ทุกวัน จนกลายเป็นความเคยชินและเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี
หากบุคคลใดละเมิดฝ่าฝืนก็ไม่ได้รับโทษรุนแรงแต่ประการใด
เพียงแต่ได้รับคำติฉินนินทาว่าประพฤติปฏิบัติในทางไม่ชอบไม่ควรเท่านั้น เช่น
มรรยาทในการ รับประทานอาหารบนโต๊ะ การแต่งกายไปในโอกาสต่าง ๆ โดยเหมาะสม
หรือพูดภาษาที่สุภาพซึ่งบุคคลในสังคมนั้นนิยมใช้กัน
1. สมัยนิยม (Fashion) เป็นวิถีประชาซึ่งแสดงออกถึงความนิยมของหมู่ชนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“สมัยนิยม” อาจเกิดขึ้นแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วและเมื่อถึงจุด
ๆ หนึ่งก็จะเสื่อมความนิยมลงไป เช่น สมัยนิยมของการแต่งกาย
2. ความนิยมชั่วครู่ (Fad) เป็นแบบของพฤติกรรมบางอย่าง
ซึ่งมีลักษณะผิวเผิน คือ ไม่จริงจังอะไรนัก เพราะฉะนั้น “ความนิยมชั่วครู่”
จึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ
ความเป็นที่นิยมเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ส่างซาไป เช่น สมัยหนึ่งนิยมพูดว่า “ไม่สน” “อย่าให้เซด” หรือ “เพลียฮาร์ด” เป็นต้น
3. ความคลั่งไคล้ (Craze) เป็นเรื่องของความไม่มีเหตุผล
อธิบายได้ว่า เมื่อ “ความคลั่งไคล้” เข้าครอบงำสิงสู่ผู้ใดแล้ว
ผู้นั้นมักประพฤติปฏิบัติไปในทำนอง โง่เขลาปัญญา กล่าวคือ
จะหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องที่ตนคลั่งไคล้จนไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรอื่น เช่น
คลั่งไคล้เรื่องโป่งข่ามหรือเรื่องว่านต่าง ๆ
จะใช้เวลาทั้งหมดเสาะแสวงหาโป่งข่ามหรือว่าน
พบใครคุยกับใครมักจะพูดแต่เรื่องที่ตนคลั่งไคล้
4. งานพิธี (Ceremony) เป็นเรื่องที่แสดงออกซึ่งเกียรติหรือความมีหน้ามีตา
(ซึ่งใครจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้) เช่น งานฉลองวันเกิด พิธีฉลองวันแต่งงาน
เป็นต้น
5. พิธีการ (Rites or Rituals) เป็นแบบเรื่องของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้นและมักจะระบุซึ่งวิธีการนั้นไว้ด้วย
เช่น พิธีจรดพระนังคัลล์แรกนาขวัญ หรือ พิธีต้อนรับน้องใหม่ เป็นต้น
พิธีการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการสร้างความศักดิ์สิทธิ์หรือเพิ่มกำลังภายในให้แก่พิธีการนั้น
ๆ เป็นอย่างดี
6. มารยาททางสังคม (Etiquette) เป็นเรื่องของการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับกาลเทศะในการสมาคม
เช่น
มรรยาทในการรับประทานอาหารหรือการกล่าวคำขอบคุณเมื่อได้รับสิ่งของหรือความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นเหล่านี้
เป็นต้น
2) วินัยจรรยาหรือกฎศีลธรรม (Mores)
เป็นแบบแผนความประพฤติ
ที่ถือว่ามีความสำคัญกว่าวิถีประชา เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพหรือความดี
ความชั่ว
ซึ่งผู้ไม่ปฏิบัติตามจะได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากสมาชิกของสังคมอย่างรุนแรงกว่าวิธีประชา
ขอยกตัวอย่างเช่น คนไทยมีกฎศีลธรรมไม่บริโภคเนื้อสุนัขและเนื้อแมว
เพราะถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน หากทราบว่า บุคคลใดบริโภค ผู้นั้นจะได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบในทางลง
กล่าวคือ จะไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
โดยเกรงว่าผู้นั้นมีจิตใจขาดศีลธรรมและเหี้ยมโหด
จึงได้บริโภคเนื้อสุนัขและเนื้อแมว
3) กฎหมาย (Laws)
เนื่องจากสังคมมนุษย์มีแนวโน้มไปในเชิงซ้อน
จึงเกิดปัญหาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแบบแผนพฤติกรรมของมนุษย์ จึงเป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องตราบทบัญญัติและกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อควบคุมสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย
ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่คอยควบคุมตรวจตราจับกุมผู้ละเมิดฝ่าฝืนมาลงโทษตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ฉะนั้น กฎหมายจึงเป็นเรื่องของบ้านเมืองหรือรัฐบาล มิใช่เป็นเรื่องระหว่างปัจเจกชนต่อปัจเจกชน
อนึ่งกฎหมายที่ออกใช้บังคับแล้ว อาจถูกเปลี่ยนแปลง
แก้ไขหรือยกเลิกและมีการออกใช้บังคับใหม่อยู่เสมอ ตามความเหมาะสมและจำเป็น
กฎหมายมักมีรากฐานมาจากวิถีประชาหรือวินัยแห่งจรรยา เพราะฉะนั้น
กฎหมายที่ดีจึงควรสอดคล้องหรือไม่ขัดกับวิถีประชาและวินัยแห่งจรรยา
การบังคับใช้ (Sanction)
การบังคับใช้บรรทัดฐานในสังคมนั้น ก็โดยมีวัตถุประสงค์จะให้นำมาซึ่งการปฏิบัติตามความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการสืบต่อเนื่องของกลุ่ม
การบังคับใช้นั้นกระทำได้ 2 วิธี คือ
1) การให้ปูนบำเหน็จ (Reward) เช่น การยกย่องชมเชยและการให้ เหรียญตรา เป็นต้น
2) การลงโทษ (Punishment) คือ มีการกำหนดโทษทัณฑ์แก่ผู้ฝ่าฝืนหรือละเมิดบรรทัดฐาน ซึ่งมีตั้งแต่การซุบซิบนินทา การปรับ การจองจำ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ความผิดอันเกิดจากการละเมิดหรือฝ่าฝืน ซึ่งกำหนดไว้ในวิถีประชา วินัยแห่งจรรยา หรือกฎหมายของสังคมนั้น ๆ
อนึ่งในกลุ่มปฐมภูมินั้น การลงโทษมักเป็นแบบอรูปนัย (Informal) เช่น การซุบซิบนินทาหรือการไม่คบค้าสมาคมด้วย ส่วนกลุ่มทุติยภูมินั้น การลงโทษมักเป็นในแบบรูปนัย (Formal) คือ เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง
การขัดกันของบรรทัดฐาน
ในบางสถานการณ์อาจเกิดการขัดกันของบรรทัดฐาน (Norm-conflict) กล่าวคือ บุคคลจะต้องเลือกปฏิบัติตามบรรทัดฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ขอยกตัวอย่างเช่น นาง ค. เป็นแม่ของลูก 4 คน นาง ค. มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานบางอย่าง เช่น ต้องเคารพในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น (คือ ต้องไม่ขโมยสิ่งของของคนอื่น) ในขณะเดียวกัน นาง ค. มีหน้าที่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของแม่ที่พึงมีต่อลูกตน จึงต้องเลี้ยงดูลูก ๆ แต่เพราะความยากจน นาง ค. จำต้องขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น เพื่อนำมาเลี้ยงดูลูกของตน เป็นต้น
สถานภาพและบทบาท (Status and Role)
ปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับบรรทัดฐาน ก็คือ “สถานภาพ” ทั้งนี้ก็เพราะว่า บรรทัดฐานมิได้ลอยตัวโดยอิสระ ในสังคมหากมีความผูกพันธ์อยู่กับสถานภาพ กล่าวได้ว่า สังคมมนุษย์ ก็คือ “ตาข่ายของสถานภาพ” ซึ่งเป็นกุญแจไขทำให้ทราบถึงกิจกรรมของกลุ่มคนและสมาคม
ความหมายของสถานภาพ
เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความหมายของสถานภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใคร่ขอเสนอความคิดของนักสังคมวิทยาดังต่อไปนี้
Young and Mack อธิบายว่า “สถานภาพ คือ ตำแหน่ง (Position) ในโครงสร้างทางสังคม”
Ogburn and Nimkoff อธิบายว่า “สถานภาพ คือ ตำแหน่งของบุคคลที่ กลุ่มสังคมวางไว้ในการสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม”
ประสาท หลักศิลา อธิบายว่า คือ ตำแหน่งหรือหน้าที่การงานซึ่งกำหนดขึ้นในโครงรูปหรือระบบของสังคม ในแต่ละระบบของสังคมย่อมมีตำแหน่งหรือสถานภาพต่าง ๆ และมีระเบียบหรือบรรทัดฐานสำหรับแนวทางปฏิบัติของตำแหน่งหรือสถานภาพนั้น ๆ คู่กันไปด้วยเสมอ
ความสำคัญของสถานภาพ
สถานภาพ ก็คือ ตำแหน่งของบุคคลในสังคมหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทุกสังคมหรือกลุ่มคนย่อมมีตำแหน่งมากมายและบุคคลคนเดียวอาจดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง เช่น นาย ก. เป็นลูกชายของพ่อ เป็นนักศึกษา เป็นสมาชิกของชมรม เป็นต้น
ในสังคมเชิงซ้อน คือ สังคมที่ประกอบด้วยคนกลุ่มใหญ่ ๆ หลายกลุ่มและคนเหล่านั้นมีความแตกต่างกันในด้านชีวิตความเป็นอยู่ การอาชีพ และมีอัตราการย้าย ถิ่นฐานสูงนั้น การปะทะสังสรรค์ทางตำแหน่งมิใช่เป็นไปในทางส่วนตัวและนี่เองทำให้ “สถานภาพมีความสำคัญยิ่งต่อการศึกษาทางสังคมวิทยา” ขอยกตัวอย่างเช่น นิสิตใหม่คนหนึ่งของมหาวิทยาลัยต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนและอาจารย์ผู้บรรยายต่าง ๆ โดยที่นิสิตคนนั้นไม่รู้จักหรือเห็นหน้าค่าตาของบุคคลดังกล่าวมาก่อนเลย แต่การ ดำเนินการลงทะเบียนและการเข้าชั้นเรียนก็เป็นไปตามตำแหน่งซึ่งมีบรรทัดฐาน กำกับไว้
เพราะฉะนั้น บรรทัดฐานหรือตำแหน่งช่วยให้นิสิตใหม่คนนั้นรู้ว่า เขาควรประพฤติหรือปฏิบัติอย่างไร บรรทัดฐานซึ่งเกี่ยวพันกับสถานภาพเหล่านั้นก็คือ สิทธิหน้าที่ อภิสิทธิ์ และภาวะจำยอม ซึ่งวินิจฉัยพฤติกรรมของมนุษย์ในการปะทะสังสรรค์ทางสังคม
สถานภาพและบทบาท
เมื่อบุคคลดำรงตำแหน่งในสังคมหรือกลุ่มคน บุคคลนั้นย่อมแสดงบทบาท (Role) ตามตำแหน่งนั้น ๆ เพราะฉะนั้นโดยปกติวิสัยแล้ว สถานภาพและบทบาทจึงเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป
อย่างไรก็ดี บทบาทหรือการปฏิบัติหน้าที่ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคลที่เข้าดำรงตำแหน่งนั้น ๆ เพราะฉะนั้น บทบาทจึงเป็นรูปแบบที่เคลื่อนไหวหรือรูปการทาง พฤติกรรมของตำแหน่ง ขอยกตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยย่อมมี บรรทัดฐานหรือแนวทางปฏิบัติบางประการ กล่าวคือ มีสิทธิหน้าที่และอภิสิทธิ์ต่าง ๆ แต่บทบาทหรือการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป
ความแตกต่างระหว่างบทบาทและตำแหน่งที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพราะว่า “ตำแหน่ง” เป็นแนวความคิดทางสังคมวิทยา ส่วน “บทบาท” นั้น เป็นแนวความคิดทางจิตวิทยาทางสังคม เพราะฉะนั้น บทบาทจึงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในเมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงคนใหม่ที่มาดำรงตำแหน่งนั้น
ตำแหน่งที่ไม่มีบทบาท
ปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับบรรทัดฐาน ก็คือ “สถานภาพ” ทั้งนี้ก็เพราะว่า บรรทัดฐานมิได้ลอยตัวโดยอิสระ ในสังคมหากมีความผูกพันธ์อยู่กับสถานภาพ กล่าวได้ว่า สังคมมนุษย์ ก็คือ “ตาข่ายของสถานภาพ” ซึ่งเป็นกุญแจไขทำให้ทราบถึงกิจกรรมของกลุ่มคนและสมาคม
ความหมายของสถานภาพ
เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความหมายของสถานภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใคร่ขอเสนอความคิดของนักสังคมวิทยาดังต่อไปนี้
Young and Mack อธิบายว่า “สถานภาพ คือ ตำแหน่ง (Position) ในโครงสร้างทางสังคม”
Ogburn and Nimkoff อธิบายว่า “สถานภาพ คือ ตำแหน่งของบุคคลที่ กลุ่มสังคมวางไว้ในการสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม”
ประสาท หลักศิลา อธิบายว่า คือ ตำแหน่งหรือหน้าที่การงานซึ่งกำหนดขึ้นในโครงรูปหรือระบบของสังคม ในแต่ละระบบของสังคมย่อมมีตำแหน่งหรือสถานภาพต่าง ๆ และมีระเบียบหรือบรรทัดฐานสำหรับแนวทางปฏิบัติของตำแหน่งหรือสถานภาพนั้น ๆ คู่กันไปด้วยเสมอ
ความสำคัญของสถานภาพ
สถานภาพ ก็คือ ตำแหน่งของบุคคลในสังคมหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทุกสังคมหรือกลุ่มคนย่อมมีตำแหน่งมากมายและบุคคลคนเดียวอาจดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง เช่น นาย ก. เป็นลูกชายของพ่อ เป็นนักศึกษา เป็นสมาชิกของชมรม เป็นต้น
ในสังคมเชิงซ้อน คือ สังคมที่ประกอบด้วยคนกลุ่มใหญ่ ๆ หลายกลุ่มและคนเหล่านั้นมีความแตกต่างกันในด้านชีวิตความเป็นอยู่ การอาชีพ และมีอัตราการย้าย ถิ่นฐานสูงนั้น การปะทะสังสรรค์ทางตำแหน่งมิใช่เป็นไปในทางส่วนตัวและนี่เองทำให้ “สถานภาพมีความสำคัญยิ่งต่อการศึกษาทางสังคมวิทยา” ขอยกตัวอย่างเช่น นิสิตใหม่คนหนึ่งของมหาวิทยาลัยต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนและอาจารย์ผู้บรรยายต่าง ๆ โดยที่นิสิตคนนั้นไม่รู้จักหรือเห็นหน้าค่าตาของบุคคลดังกล่าวมาก่อนเลย แต่การ ดำเนินการลงทะเบียนและการเข้าชั้นเรียนก็เป็นไปตามตำแหน่งซึ่งมีบรรทัดฐาน กำกับไว้
เพราะฉะนั้น บรรทัดฐานหรือตำแหน่งช่วยให้นิสิตใหม่คนนั้นรู้ว่า เขาควรประพฤติหรือปฏิบัติอย่างไร บรรทัดฐานซึ่งเกี่ยวพันกับสถานภาพเหล่านั้นก็คือ สิทธิหน้าที่ อภิสิทธิ์ และภาวะจำยอม ซึ่งวินิจฉัยพฤติกรรมของมนุษย์ในการปะทะสังสรรค์ทางสังคม
สถานภาพและบทบาท
เมื่อบุคคลดำรงตำแหน่งในสังคมหรือกลุ่มคน บุคคลนั้นย่อมแสดงบทบาท (Role) ตามตำแหน่งนั้น ๆ เพราะฉะนั้นโดยปกติวิสัยแล้ว สถานภาพและบทบาทจึงเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป
อย่างไรก็ดี บทบาทหรือการปฏิบัติหน้าที่ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคลที่เข้าดำรงตำแหน่งนั้น ๆ เพราะฉะนั้น บทบาทจึงเป็นรูปแบบที่เคลื่อนไหวหรือรูปการทาง พฤติกรรมของตำแหน่ง ขอยกตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยย่อมมี บรรทัดฐานหรือแนวทางปฏิบัติบางประการ กล่าวคือ มีสิทธิหน้าที่และอภิสิทธิ์ต่าง ๆ แต่บทบาทหรือการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป
ความแตกต่างระหว่างบทบาทและตำแหน่งที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพราะว่า “ตำแหน่ง” เป็นแนวความคิดทางสังคมวิทยา ส่วน “บทบาท” นั้น เป็นแนวความคิดทางจิตวิทยาทางสังคม เพราะฉะนั้น บทบาทจึงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในเมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงคนใหม่ที่มาดำรงตำแหน่งนั้น
ตำแหน่งที่ไม่มีบทบาท
ในบางสถานการณ์จะมีแต่ตำแหน่ง
แต่ไม่มีบทบาท ขอยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา
รัฐธรรมนูญกำหนดให้รองประธานาธิบดีเข้าดำรงตำแหน่งแทนประธานาธิบดีในกรณีที่ประธานาธิบดีถึงแก่อสัญญกรรมในระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่
เมื่อรองประธานาธิบดีเข้าดำรงตำแหน่งสืบแทนตำแหน่งประธานาธิบดีในกรณีดังกล่าว
ทำให้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีว่างลง กล่าวได้ว่า
ตำแหน่งรองประธานาธิบดีว่างลงโดยไม่มีบทบาท
บทบาทที่ไม่มีตำแหน่ง
ในทำนองเดียวกัน อาจมีบทบาทแต่ไม่มีตำแหน่ง เช่น ในกรณีผู้หญิง
(ซึ่งมิใช่พยาบาล)
แสดงบทบาทของนางพยาบาลในเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเจ็บป่วย
(นางพยาบาลเป็นตำแหน่งในโรงพยาบาล
แต่ก็อาจจะมีบทบาทของนางพยาบาลภายในบ้านดังกล่าว)
สถานภาพโดยกำเนิดและสถานภาพโดยการกระทำ
สังคมวิทยาได้แบ่งสถานภาพออกเป็น 2 ประเภทใหญ่
ๆ คือ
1) สถานภาพโดยกำเนิด (Ascribed status)
2) สถานภาพโดยการกระทำ (Achieved status)
1) สถานภาพโดยกำเนิด
เป็นเรื่องของการที่บุคคลนั้นได้รับสถานภาพ
มาโดยเงื่อนไขทางชีวภาพ นั่นคือ พอเกิดขึ้นมาในโลกก็ได้รับเลย ซึ่งพอแยกอธิบาย
ดังต่อไปนี้
1. สถานภาพทางวงศาคณาญาติ (Kinship status) คือ
บุคคลย่อมมีความผูกพันกับครอบครัว เช่น เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพี่ของน้อง เป็นต้น
2. สถานภาพทางเพศ (Sex status) คือ
บุคคลเกิดมาเป็นเพศใด เป็นชายหรือหญิง บุคคลนั้นก็จะย่อมได้รับสถานภาพทางเพศ
ซึ่งย่อมมีบทบาท (สิทธิหน้าที่)ที่ต่างกัน
3. สถานภาพทางอายุ (Age status) คือ
บุคคลได้รับสถานภาพตามเกณฑ์อายุของตน เช่น กฎหมายไทยบัญญัติไว้ว่า
ชายและหญิงจะบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
เพราะฉะนั้นสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
กับบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมแตกต่างกัน
4. สถานภาพทางเชื้อชาติ (Race status) คือ
บุคคลที่เกิดมาจากชาติใดก็มีสถานภาพตามบรรทัดฐานของเชื้อชาตินั้น ๆ เช่น
เชื้อชาติไทยและเชื้อชาติจีน เป็นต้น
5. สถานภาพทางท้องถิ่น (Regional status) คือ
บุคคลที่เกิดมาใน ถิ่นฐานใด เช่น คนที่เกิดทางภาคเหนือของไทยก็ได้รับสถานภาพเป็นคนเหนือ
เกิดที่ภาคใต้ก็ ได้รับสถานภาพเป็นคนใต้ เป็นต้น
6. สถานภาพทางชนชั้น (Class status) บุคคลที่เกิดมาจากครอบครัวของชนชั้นสูง
คือ มีฐานะดี ย่อมได้รับการศึกษาสูงอีกด้วย และได้รับสถานภาพเป็นชนชั้นสูง
2) สถานภาพโดยการกระทำ
สถานภาพประเภทนี้เป็นสถานภาพที่ได้มาภายหลังอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสำเร็จของการกระทำของตน
ดังจะอธิบาย ดังต่อไปนี้
1. สถานภาพทางสมรส (Marital status) คือ
บุคคลจะได้รับสถานภาพของความเป็นสามี – ภรรยาภายหลังที่ได้ทำการสมรสแล้ว
2. สถานภาพทางบิดามารดา (Parental status) บุคคลจะได้รับ
สถานภาพของความเป็นบิดา – มารดา ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้น ๆ
มีบุตร
3. สถานภาพทางการศึกษา (Educational status) บุคคลที่ได้รับ
การศึกษาสูง ๆ เช่น ในชั้นอุดมศึกษา ย่อมได้รับสถานภาพทางการศึกษาตามวุฒิที่ตน
ได้มา เช่น เป็นบัณฑิต เป็นมหาบัณฑิต หรือ ดุษฎีบัณฑิต
4. สถานภาพทางอาชีพ (Occupational status) สังคมประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้บุคคลได้มีโอกาสแข่งขันกันในด้านความสามารถเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ
บุคคลย่อมได้รับสถานภาพตามประเภทอาชีพ เช่น ช่างฝีมือ ความเป็นหมอ
5. สถานภาพทางการเมือง (Political status) บุคคลที่สนใจและอยู่ในวงการเมือง
ย่อมได้รับสถานภาพทางการเมือง เช่น เป็นสมาชิกของพรรค
ตำแหน่งขัดกัน (Status conflict)
ในบางสถานการณ์อาจเกิดตำแหน่งขัดกันได้ เช่น นาย ก. เป็นตำรวจมี
หน้าที่ต้องจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมาย แต่ นาย ข. ซึ่งเป็นผู้ต้องหานั้น
เป็นเพื่อนสนิทของนาย ก. ต้องเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง (คือ จับหรือไม่จับ)
ทำให้เกิดบทบาท ขัดกัน (Role conflict)
สัญลักษณ์ของตำแหน่ง
ตำแหน่งบางตำแหน่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับอายุ เพศ และ
สีของผิว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ
พอเห็นก็ทราบได้ทันทีว่า เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
เป็นฝรั่งหรือแขก
การควบคุมทางสังคม (Social control)
ความหมาย
ตามความเห็นของ Gillin and Gillin การควบคุมทางสังคมเป็นเรื่องของ
การบังคับให้สังคม (คน) ได้พยายามปฏิบัติตามคำสั่งหรือระเบียบที่สังคมวางไว้
Gillin and Gillin อธิบายว่า การควบคุมทางสังคมเป็นระบบของมาตรการ
ข้อแนะนำ ข้อโอ้โรม ข้อห้ามปราม และข้อบังคับ ซึ่งพฤติกรรมหรือกลุ่มย่อยจะเป็น
การบังคับทางพลังกายหรือบังคับทางสังคมก็ตามให้ยอมรับกฎเกณฑ์ที่สมาชิกของสังคมกำหนดขึ้น
ตามความเห็นของผู้เขียน
การควบคุมทางสังคมน่าจะเป็นวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
บังคับให้คนในสังคมกระทำตามบรรทัดฐานของสังคม
เครื่องมือในการควบคุมทางสังคม (Agencies of social
control)
การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมมนุษย์และมีการวางระเบียบกฎเกณฑ์ขึ้นเป็น
แนวทางสำหรับทุกคนในสังคมปฏิบัติตามเพื่อความสงบสุข ความราบรื่นตลอดถึง
ความมั่นคงของสังคมนั้น ก็มิได้หมายความว่า
ทุกคนในสังคมจะปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนนี้อย่างเข้มงวดจริงจัง
ปกติมักจะมีผู้ฝ่าฝืนและหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของสังคมอยู่เสมอ
จำเป็นที่สังคมต้องหาทางบังคับควบคุมให้บุคคลรักษาระเบียบของสังคมให้ได้
การที่จะควบคุมสังคมให้ได้นั้นต้องมีเครื่องมือหรือตัวแทนของการควบคุมสังคมดังต่อไปนี้
1) การควบคุมโดยผ่านความเชื่อ (Control Through Belief) ในสังคม หนึ่ง ๆ ย่อมมีความเชื่อถือไม่เหมือนกัน เช่น
ในเรื่องความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มี ตัวตน
แต่คนก็ย่อมเกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์อภินิหารของสิ่งเหล่านั้น เช่น เทพเจ้า เจ้าพ่อ
เจ้าแม่ ศาลพระภูมิ รวมทั้งต้นโพธิ์ ต้นไม้ใหญ่ หรือคนกราบไหว้บูชา ความเชื่อใน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ อาจทำให้คนเกรงกลัวไม่กล้ากระทำผิดได้
2) การควบคุมโดยการเสนอแนะแนวทาง (Control by Social
Suggestion) การเสนอแนะเป็นมาตรการอันหนึ่งในการควบคุมสังคม
เมื่อผู้เสนอแนะเป็นผู้มีชื่อเสียงหรือผู้ที่สังคมเคารพนับถือ
3) การควบคุมโดยศาสนา (Control by Religion) ศาสนากับการบังคับแบบเหนือธรรมชาติได้เป็นปัจจัยอันสำคัญในการควบคุมสังคม
ศาสนาได้โยงความสัมพันธ์ของมนุษย์เข้ากับพลังเหนือธรรมชาติที่รู้กันในฐานะพระเจ้า
และแนะนำมนุษย์ให้กระทำตามจุดมุ่งหมายหรือกฎเพื่อเข้าถึงพระเจ้า
แบบอย่างของสังคมส่วนมากจะค้านศีลธรรมหรือพฤติกรรมอันมีส่วนสร้างขึ้นมาโดยศาสนา
สถาบันทางศาสนาจึงเป็น สิ่งสำคัญในการควบคุมทางสังคม
4) การควบคุมโดยอุดมคติทางสังคม (Control by Social Ideals) อุดมคติทางสังคมก็เป็นมาตรการอันหนึ่งที่จะควบคุมสังคมได้
ในเมื่อผู้นำของประเทศ ได้ปลุกระดมให้ประชาชนของประเทศมีอุดมคติอันแน่วแน่ เช่น
ฮิตเลอร์ เลนิน และคานธี เป็นต้น
5) การควบคุมโดยงานพิธี (Control of Ceremony) ในชีวิตของมนุษย์ได้เกี่ยวข้องกับงานพิธีต่าง ๆ มากมาย เช่น งานวันเกิด
งานแต่งงาน หรือแม้แต่งานพิธีของคนตาย Maciver anc Page เชื่อว่า
“รูปแบบงานพิธี เป็นงานการสร้างวิธีการอย่างมี
รูปแบบให้มนุษย์ประทับใจถึงความสำคัญของเรื่องราวหรือโอกาสแห่งการประกอบ
พิธีการนั้น
พิธีกรรมยังเร่งเร้าความรู้สึกในหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดให้มีความปรารถนาอันสูงส่งจนกระทั่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณค่าของชีวิต
ซึ่งก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะควบคุมสังคมได้
6) การควบคุมโดยศิลปะ (Control by Arts) ความเป็นศิลปะต่าง
ๆ เป็นเครื่องมือควบคุมทางสังคมชนิดหนึ่ง เพราะศิลปะมีรูปแบบของการกระทำของคน เช่น
ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ศิลปะได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกันอย่างลึกซึ้ง
เมื่อเสียงดนตรีทำให้กลายเป็นเครื่องผ่อนคลายอารมณ์ได้อีกอย่างหนึ่ง
เพลงมาร์ชในยามสงครามยังเร่งเร้าปลุกอารมณ์ให้คิดที่จะฆ่ากันได้
7) การควบคุมโดยผ่านความเป็นผู้นำ (Control Through
Leadership) ความสามารถในการให้การแนะนำเรื่องคุณภาพส่วนบุคคลตามสถานที่ทำงานต่าง
ๆ สมาคมหรือบริษัทจะใหญ่หรือเล็กมีความจำเป็น ผู้นำที่มีความสามารถในหน้าที่การงาน
ยิ่งในสังคมสมัยใหม่อันสลับซับซ้อน
ความเป็นผู้นำมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะควบคุมสังคมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
8) การควบคุมทางสังคมโดยผ่านกฎหมายและการบริหารงาน (Social
Control Through Law and Administration) กฎหมายเป็นเรื่องกฎข้อบังคับให้บุคคลยอมรับการปฏิบัติตาม
หากใครฝ่าฝืนหรือละเมิดกฎหมายย่อมได้รับโทษานุโทษ บุคคลมีความเกรงกลัวกฎหมาย
นอกจากนั้น กฎหมายยังอ้างถึงตัวแทนพลังอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ
กลไกการบริหารของรัฐ
ซึ่งก็ใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนทางสังคมได้ด้วย
9) การควบคุมโดยผ่านศีลธรรม (Control Through Morals) การที่บุคคลมีความรับผิดชอบในหน้าที่จะทำอะไรลงไปก็รู้ว่าสิ่งนั้นดี
สิ่งนั้นไม่ดี ทุกคนตั้งอยู่ใน ศีลธรรมอันดี
ย่อมก่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย นั่นคือ
การควบคุมทางสังคมอย่างหนึ่งนั่นเอง
การอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคม (Socialization)
ความหมาย
ตามความหมายของ Bogadus
การอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคมเป็นกระบวนการการทำงานร่วมกันหรือเป็นกระบวนการกลุ่มที่พัฒนาความรับผิดชอบ
ให้กับคนในสังคม เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต
ประสาท หลักศิลา
ได้อธิบายไว้ว่า “เป็นกระบวนการที่ทำให้คนซึ่งใน
ตอนแรกมีสภาพเป็นอินทรีย์ทางชีววิทยาเปลี่ยนแปลงมาเป็นคนซึ่งมีความรู้สึกในเรื่องพวกเดียวกัน
มีความสามารถในการอยู่เป็นระเบียบ มีคุณธรรมต่าง ๆ และมีความทะเยอทะยาน
เมื่อมองในแง่ของสังคมแล้ว
การอบรมให้เรียนรู้ระเบียบสังคม ก็คือ การถ่ายทอดวิถีวัฒนธรรมและการทำให้ปัจเจกชน
สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมในสังคมที่ได้มีการจัดระเบียบอย่างดีแล้ว
การอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคมเป็นกระบวนการที่จะต้องกระทำตลอดอายุขัยของชีวิตมนุษย์เลยทีเดียว
คือ เริ่มตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่ นอกจากนั้น ในขณะที่ปัจเจกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปของสังคมใหม่และสถาบันใหม่
เขาก็จะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ใหม่และยอมรับค่านิยมใหม่และในขณะเดียวกับที่พ่อแม่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนสำคัญในการเลี้ยงดูเด็ก
ตัวพ่อแม่เองก็ต้องได้รับการเรียนรู้ในบทบาทของพ่อแม่และคุณค่าของความเป็นพ่อแม่อีกด้วย
จุดมุ่งหมายของการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคม
1) เพื่อให้มวลสมาชิกได้รู้จักปฏิบัติตนตามบรรทัดฐานและตระหนักถึงสถานภาพและบทบาทอย่างถูกต้อง
เพื่อจะได้ปฏิบัติตนในฐานะสมาชิกที่ดีของสังคม
2) เพื่อปลูกฝังทักษะที่จะร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นในสังคม
เช่น การมี มนุษยสัมพันธ์
3) เพื่อปลูกฝังระเบียบวินัยหรือพฤติกรรมที่จำกัดความพอในปัจจุบัน
เพื่อการยอมรับของสังคม เช่น วิธีการรับประทานอาหาร นิสัยการอาบน้ำชำระร่างกาย
4) ปลูกฝังความมุ่งหวังและค่านิยมแก่สมาชิกในสังคม
เช่น แรงจูงใจในความสำเร็จในการประกอบอาชีพ ซึ่งจะทำให้บุคคลยอมรับที่จะดำเนินชีวิตตามกติกาและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของสังคมที่ได้วางไว้
5.3 องค์กรที่อบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม
1) ครอบครัว
ครอบครัวจัดเป็นองค์กรในการให้การอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคมที่สำคัญ
ทั้งนี้เพราะมีความใกล้ชิดกับเด็กและสมาชิกของครอบครัวและอยู่ร่วมกันเป็นเวลานาน
จึงทำหน้าที่อบรมสั่งสอนได้ตลอดเวลา ประกอบกับ
ครอบครัวมีหน้าที่สำคัญในการอบรมเลี้ยงดูเด็กอยู่ด้วยและวัยเด็กเป็นวัยที่มีผลมาก
ต่อการสร้างบุคลิกภาพรวมทั้งอารมณ์และจิตใจของเด็ก
ครอบครัวจะเป็นแหล่งอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวัฒนธรรม
ค่านิยม ทัศนคติ และหลักการดำเนินชีวิตเบื้องต้น
2) กลุ่มเพื่อน
เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะเข้าร่วมสังคมกับเพื่อน ๆ เช่น กับเพื่อนบ้าน
เพื่อนที่สนามเด็กเล่น เพื่อนที่โรงเรียน
กลุ่มเพื่อนมีอิทธิพลสำคัญต่อพฤติกรรมของเด็กเช่นกัน เด็กอาจเรียนแบบอย่างเพื่อน
ดังนั้น ถ้าเด็กได้คบกับเพื่อนดีจะได้รับ แบบอย่างที่ดี ในทางตรงกันข้าม
หากคบเพื่อนไม่ดีย่อมมีพฤติกรรมไม่ดีด้วย
กลุ่มเพื่อนจะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ที่อาจไม่ได้รับจากครอบครัวหรือผู้ใหญ่ เช่น เพศศึกษา ความเสมอภาค
ความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นผู้นำ ซึ่งเด็กอาจนำเอาพฤติกรรมต่าง ๆ
ของเพื่อนมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของตนเอง
3) โรงเรียน
โรงเรียนเป็นหน่วยอบรมสั่งสอนระเบียบแบบแผนของสังคมอย่างเป็นทางการ
ปัจจุบันโรงเรียนมีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กมาก
เพราะเด็กในปัจจุบันนี้มีชีวิตอยู่ในโรงเรียนเป็นเวลานาน วันละหลาย ๆ ชั่วโมงและหลายปี
เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของโรงเรียนโดยทั่วไปแล้ว
โรงเรียนจะทำหน้าที่สำคัญ 2 ประการด้วยกัน คือ
1. สอนให้มีความรู้และทักษะในการดำรงชีพ
2. อบรมสั่งสอนเพื่อให้เป็นพลเมืองดี
มีความจงรักภักดีต่อชาติ มีจรรยามรรยาทอันดีงาม นอกจากนั้น
โรงเรียนยังเปิดโอกาสให้เด็กได้ใกล้ชิดสังสรรค์กับเพื่อน ๆ
เป็นระยะเวลานานทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม ได้มากขึ้น
4) สื่อสารมวลชน ได้แก่ โทรทัศน์ ภาพยนตร์
หนังสือพิมพ์ สิ่งตีพิมพ์ ต่าง ๆ วิทยุ และอื่น ๆ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นสื่อนำให้เกิดค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติ และ
ได้เรียนรู้พฤติกรรมแบบอย่างต่าง ๆ แล้วนำประพฤติปฏิบัติในสังคม ดังจะพบเห็น
ได้ง่าย ๆ ในหมู่เด็กที่ชมภาพยนต์แล้วนำเอาพฤติกรรมการแสดงของผู้แสดงมาปฏิบัติ
สื่อสารมวลชนนับว่ามีอิทธิพลและมีบทบาทต่อการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคมมากเช่นกัน
5) สถาบันทางสังคมและองค์กรอื่น ๆ
เช่น สถาบันทางศาสนา สมาคม มูลนิธิ เป็นต้น
สถาบันทางศาสนามีบทบาทสำคัญต่อการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบ
แบบแผนของสังคมโดยเฉพาะในสังคมไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่า
วัดเป็นหน่วยทางสังคมที่ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ชาวบ้านอาศัยเป็นแหล่งอบรมทางจิตใจ
แหล่งการศึกษาหาความรู้ เป็นแหล่งให้การอบรมลูกหลาน
จึงจัดเป็นหน่วยนำทางระเบียบแบบแผนในการดำเนินชีวิตที่สำคัญ นอกจากนั้น
ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยในการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม เช่น
ยุวพุทธิกสมาคม ศูนย์พัฒนาเยาวชน
บุคคลที่จะต้องอบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม
บุคคลที่ควรจะได้รับการอบรม
ซึ่งพอจะแบ่งตามเกณฑ์อายุดังต่อไปนี้
1) ในวัยเด็ก ระยะแรก ๆ
จะเน้นในด้านการตอบสนองความต้องการของทารก เช่น การให้อาหาร การให้ความอบอุ่น
เมื่อเติบโตขึ้นก็จะเริ่มสอนคลาน นั่ง ยืน เดิน พูด ในช่วงระยะนี้
จะเริ่มอบรมให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ถ้าผิดพ่อแม่ก็จะแสดงอาการดุหรือส่งเสียงว่ากล่าว
เด็กจะเรียนรู้กิริยาอาการพอใจหรือไม่พอใจของผู้ใหญ่และจะจดจำ เพื่อว่าเมื่อเห็นลักษณะอาการเช่นนั้นอีกจะได้ไม่ทำเช่นนั้น
นั่นคือ เด็กจะเริ่ม รู้จักควบคุมความต้องการและความประพฤติมากขึ้นเรื่อย ๆ
2) ในวัยหนุ่มสาว
การอบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม
ส่วนใหญ่จะได้จากกลุ่มเพื่อนเล่นในโรงเรียน วัยนี้มักจะเอาอย่างเลียนแบบผู้อื่น
3) วัยผู้ใหญ่
การอบรมผู้ใหญ่ให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม ก็มีความจำเป็นอยู่บ้าง
แม้จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจาก
บางโอกาสต้องประสบกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ในสังคม เช่น เป็นข้าราชการใหม่หรือ
ข้าราชการย้ายจากงานลักษณะหนึ่งไปทำงานในอีกลักษณะหนึ่ง จำเป็นต้องเข้ารับการ
อบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของงานใหม่
หรือการที่คนเราย้ายจากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่ง
ย่อมมีความจำเป็นในการศึกษาเกี่ยวกับสังคมใหม่ที่ตนเข้าไปร่วมด้วย
สรุป
ความเป็นระเบียบของสังคมจะเกิดขึ้นได้จำต้องอาศัยบรรทัดฐานของสังคม
อันเป็นแนวทางกำกับครรลองพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม
ซึ่งมันมีความเกี่ยวพันไปถึงตำแหน่งหน้าที่ของบุคคลด้วย นอกจากนั้น
ยังจะต้องมีการควบคุมทางสังคมอีกด้วย
ตลอดถึงการจัดให้มีการอบรมเรียนรู้ระเบียบของสังคมด้วย
เพื่อที่สังคมจะได้เป็นระเบียบเรียบร้อยและนำสันติสุขมาสู่สังคมโดยส่วนรวม
ที่มา : www.trueplookpanya.com
www.mwit.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น