อินเดียกับวัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรม
ต่างชาติทั้งหลายที่เข้ามามีความสัมพันธ์กับไทยนั้นถือได้ว่าวัฒนธรรม
อินเดียมีความสำคัญมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยในหลายด้าน
โดยเฉพาะพุทธศาสนา ภาษา วรรณคดี กฎหมาย และประเพณีต่าง ๆ ดังจะได้กล่าวต่อไป
อินเดียมีการติดต่อกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลานานแล้ว
จากหลักฐานทางโบราณคดี
แสดงให้เห็นร่องรอยวัฒนธรรมอินเดียในภูมิภาคนี้มีมาไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษ ที่ ๗
ในศตวรรษต่อมาก็ได้ปรากฏหลักฐานเป็นศิลาจารึกภาษาสันสกฤตและพระพุทธรูปใน
ภูมิภาคนี้ด้วย ดังนั้นเมื่อไทยสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีในปลายพุทธศตวรรษที่
๑๘ วัฒนธรรมอินเดียจึงได้แพร่หลาย
และมีอิทธิพลต่อผู้คนในดินแดนประเทศไทยอยู่อย่างกว้างขวางแล้ว
ในเวลาไม่นานต่อมาพระมหากษัตริย์ และประชากรของอาณาจักรสุโขทัย
จึงรับวัฒนธรรมอินเดียอีกหลายประการ โดยผ่านอาณาจักรที่รุ่งเรืองในบริเวณนี้มาก่อน
โดยเฉพาะขอมหรือเขมรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) มอญ
ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ก็ได้รับช่วงวัฒนธรรมอินเดียต่อมา
วัฒนธรรมอินเดียซึ่งไทยรับมาที่นับว่าสำคัญคือ
๑. ศาสนา ศาสนาจากอินเดียที่เข้ามาเผยแผ่ก่อนคือ
ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูซึ่งเป็นศาสนาที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระศิวะ พระพรหม
พระนารายณ์ พระอินทร์ เมื่อพุทธศาสนารุ่งเรืองในอินเดีย โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๖๙-๓๑๑) พระองค์ได้ส่งสมณทูตไปเผยแผ่พุทธศาสนาหลายแห่ง
รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ผู้คนในอาณาจักรต่าง ๆ
ยอมรับนับถือพุทธศาสนาแทนศาสนาพราหมณ์ อย่างไรก็ดี
ศาสนาพราหมณ์ยังคงมีอิทธิพลในราชสำนักและในพระราชพิธีบางอย่าง พุทธศาสนาที่นับถือในสุโขทัยระระแรกเป็นนิกายมหายาน
ต่อมาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๑-๑๘๔๒)
ทรงนำพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์หรือนิกายหินยานซึ่งเคร่งครัดในพระ
ธรรมวินัยกว่ามาเผยแผ่ ทรงนิมนต์พระสงฆ์จากตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช
ซึ่งมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกมาเทศน์สั่งสอนประชาชนทำให้พุทธศาสนานิกาย เถรวาทเป็นที่นับถือกันโดยทั่วไปจนปัจจุบัน

๒. ภาษาและวรรณคดี การแพร่หลายของพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยจนกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติ
ทำให้คำในภาษาบาลีซึ่งใช้ในพุทธศาสนานิกายหินยานมีหลายคำ
ปรากฏในภาษาซึ่งใช้กันโดยทั่วไปในหมู่คนไทย
ส่วนภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาของนักปราชญ์ในอินเดียก็มีอิทธิพลอยู่มากแต่
น้อยกว่าภาษาบาลี
ในด้านวรรณคดี มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ๒ เรื่อง คือ รามายณะ
หรือรามเกียรติ์และมหาภารตะ เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย เรื่องรามายณะมาเล่นโขน
หนังใหญ่ และหนังตะลุง ยังมีวรรณคดีของอินเดียอีกหลายเรื่องที่คนไทยคุ้นเคย
ที่รู้จักกันดีอีกเรื่องหนึ่งคือนิทานชาดก ในพุทธศาสนา
ซึ่งมีอิทธิพลต่อคนไทยในเรื่องการทำคุณงามความดี ละเว้นความชั่ว

๓. กฎหมายและระบอบการปกครอง กฎหมายเดิมของไทยที่เรียกกัน
โดยทั่วไปว่ากฎหมายตราสามดวง ได้รับอิทธิพลจากอินเดียเช่นกัน (โดยผ่านทางมอญ)
คือจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ในการตรากฎหมายหรือที่เรียกว่าพระไอยการลักษณะต่าง ๆ
จะมีการอ้างอิงถึงคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ในเบื้องต้น ก่อนกล่าวถึงเนื้อหาสาระของกฎหมาย
นอกจากนี้คัมภีร์อรรถศาสตร์ ซึ่งเป็นตำราทางด้านการปกครองของอินเดีย
ราชนีติ หรือ "ความประพฤติของพระราชา" และหลักทศพิธราชธรรม หรือ
"ธรรม ๑๐ ประการของพระราชา"
ล้วนแล้วแต่มีกำเนิดในอินเดียและมีอิทธิพลต่อระบอบการปกครองของไทยในสมัยก่อน

๔. ศิลปกรรม ศิลปกรรมของอินเดียที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาทางด้านปฏิมากรรม
เช่น พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ ด้านสถาปัตยกรรม เช่น สถูป เจดีย์ ด้านจิตรกรรม เช่น
ภาพฝาผนัง มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อศิลปกรรมของไทย อิทธิพลของเรื่องรามายณะ
หรือรามเกียรติ์ทำให้นาฏศิลป์ของอินเดียมีอิทธิพลต่อนาฏศิลป์ไทยเช่นกัน
ทั้งการแต่งตัวและท่าร่ายรำ
อิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียดังที่กล่าวมาไทยไม่ได้รับโดยตรงจากอินเดีย
หากแต่รับผ่านเพื่อนบ้านของไทย คือ ขอม (เขมร๗) มอญ ลังกา
สำหรับขอมยังมีอิทธิพลทางด้านภาษาต่อไทยเราด้วย นั่นคือ คำในภาษาเขมรหลายคำกลายเป็นภาษาที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์
และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือราชาศัพท์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น