อารยธรรมกรีก
อารยธรรมกรีกเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 750 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเอเธนส์ (Athens)
เมืองหลวงของประเทศกรีซในปัจจุบัน เป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและมีอิทธิพลต่อโลกตะวันตกมาก
1.กำเนิดอารยธรรมกรีก
อารยธรรมกรีกที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ประกอบด้วยอารยธรรมหลัก
2 ส่วน ได้แก่อารยธรรมของชาวกรีกโบราณหรืออารยธรรมเฮลเลนิก (Hellenic Civilizaton, ปี 750-336 ก่อนคริสต์ศักราช) และ อารยธรรมเฮลเลนิสติก (Hellenistic Civilization, ปี 336-31 ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กรีกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมาซิโดเนีย
(Macedonia) และเป็นอารยธรรมที่ผสมผสานกับความเจริญที่รับจากดินแดนรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ปัจจัยที่สำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดอารยธรรมกรีกโดยรวม คือ ที่ตั้งทางภูมิศาสต ร์ ชาวกรีกโบราณ และระบอบนครรัฐกรีก

ที่ตั้ง
อารยธรรมกรีกเกิดขึ้นในบริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรบอลข่านและชายฝั่งทะเลอีเจียน ซึ่งกั้นระหว่างคาบสมุทรบอลข่านและเอเชียไมเนอร์
บริเวณเหล่านี้อยู่ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งรายรอบด้วยอารยธรรมสำคัญของโลก
คืออารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ใกล้กับเกาะครีตซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมไมนวน (Minoan
Civilization ประมาณปี 2000-1400 ก่อนคริสต์ศักราช)
ที่เกิดจากการผสมผสานอารยธรรมของดินแดนในแถบรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ทำให้ชาวกรีกสมัยโบราณมีโอกาสรับและแลกเปลี่ยนความเจริญด้านต่างๆ
ของอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์จากเกาะครีต
อนึ่ง
พื้นที่ในคาบสมุทรบอลข่านตอนใต้ยังประกอบด้วยภูเขาและที่ราบสูงซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการรวมศูนย์อำนาจปกครอง ทำให้ชาวกรีกสมัยโบราณมีการปกครองแบบนครรัฐและมักเกิดสงครามระหว่างนครรัฐ เช่น
กรณีนครรัฐสปาร์ตา (Sparta) ทำสงครามรุกรานกรุงเอเธนส์
อนึ่ง กรีกยังมีพื้นที่ราบเพาะปลูกไม่มากนัก ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้เพียงอย่างเดียว
แต่สภาพที่ตั้งซึ่งมีชายฝั่งทะเลและท่าเรือที่เหมาะสมจำนวนมาก
ชาวกรีกจึงสามารถประกอบอาชีพประมงและเดินเรือค้าขายกับดินแดนต่างๆ
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งมีโอกาสขยายอิทธิพลไปยึดครองดินแดนอื่นๆ
ในเขตเอเชียไมเนอร์ด้วย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดอารยธรรมต่อกัน
โดยเฉพาะการนำอารยธรรมของโลกตะวันออกไปสู่ตะวันตก
ชาวกรีกโบราณ ชาวกรีกโบราณเรียกตัวเองว่า
“เฮลลีน” (Hellene) เป็นพวกอินโด-ยูโรเปียนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจากทางตอนเหนือของประเทศกรีซปัจจุบันเมื่อประมาณ
2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในระยะแรก กระจายอยู่เป็นเผ่าต่างๆ
ในคาบสมุทรบอลข่านและเขตทะเลอีเจียน ที่สำคัญได้แก่ พวกไอโอเนียน (Ionians)
และพวกไมซีเนียน (Mycenaeans) โดยทั่วไปชาวกรีกโบราณประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเดินเรือ
ต่อมาเผ่าที่มีความเจริญได้ขยายอำนาจและก่อตั้งเป็นนครรัฐ ที่สำคัญได้แก่นครรัฐของพวกไมซีเนียนซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่
และมีอำนาจสูงสุดประมาณปี 1600-1100 ก่อนคริสต์ศักราช โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไมซีเนทางตอนใต้ของประเทศกรีซในปัจจุบัน
พวกไมซีเนียนเป็นนักรบที่มีความเก่งกล้าสามารถยึดครองดินแดนของนครรัฐอื่นๆ
รวมทั้งเกาะครีต และรับอิทธิพลของอารยธรรมต่างๆ
โดยเฉพาะอารยธรรมไมนวนของชาวเกาะครีต
ต่อมาประมาณปี 1100
ก่อนคริสต์ศักราช พวกกรีกอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ดอเรียน (Dorians)
ซึ่งอพยพมาจากทางเหนือและขยายอำนาจครอบครองดินแดนของพวกไมซีเนียน
พวกนี้ได้สร้างนครรัฐสปาร์ตาเป็นศูนย์กลางปกครองของตน
พวกดอเรียนมีความเจริญน้อยกว่าไมซีเนียนและไม่รู้หนังสือ ไมหลักฐานที่กล่าวถึงดินแดนกรีกภายใต้อิทธิพลของพวกดอเรียนในช่วงปี 1100-750
ก่อนคริสต์ศักราช มากนัก จนกระทั่งประมาณปี 750 ก่อนคริสต์ศักราช ได้มีการประดิษฐ์อักษรซึ่งรับรู)แบบมาจากอักษรและพยัญชนะของพวกฟีนิเชียนที่เข้ามาติดต่อค้าขายในช่วงนั้น
อย่างไรก็ตามแม้พวกดอเรียนจะมีอำนาจเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถรวมอำนาจปกครองนครรัฐกรีกได้ทั้งหมด

หลังจากนครรัฐสปาร์ตาเสื่อมอำนาจ
เมื่อปี 371 ก่อนคริสต์ศักราช นครรัฐกรีกอื่นๆ
ก็พยายามรวมตัวกันโดยมีนาครรัฐทีบีส (Thebes) เป็นผู้นำ
แต่ในที่สุดก็ถูกกษัตริย์ฟิลิปแห่งมาซิโดเนียซึ่งอยู่ในเขตเอเชียไมเนอร์รุกรานและครอบครองเมื่อปี
338 ก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาเมื่อพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช
(Alexander the Great, ปี 336-323 ก่อนคริสต์ศักราช)
โอรสของพระเจ้าฟิลิปได้ปกครองจักรวรรดิมาซิโดเนีย
พระองศ์ได้ขยายอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวางจนถึงเขตลุ่มแม่น้ำสินธุและได้ครอบครองแหล่งอารยธรรมต่างๆ
ของโลก ได้แก่ อียิปต์ เมโสโปเตเมีย และเปอร์เซีย
จึงมีการรับความเจริญจากแหล่งต่างๆ เหล่านั้นมาผสมผสานกับอารยธรรมกรีก เรียกว่า
อารยธรรมเฮลเลนิสติกตามชื่อสมัยเฮลเลนิสติก (Hellenistic) ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราชจนกระทั่งสิ้นสลายเมื่อประมาณปี
146 ก่อนคริสต์ศักราช
จากนั้นดินแดนกรีกได้ตกอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน ความเจริญต่างๆ
ที่ชาวกรีกสั่งสมไว้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโรมัน ระบอบนครรัฐกรีก การปกครองแบบนครรัฐของกรีกที่มีความหลากหลาย
ส่งเสริมให้นครรัฐแต่ละแห่งมีโอกาสพัฒนารูปแบบและวิธีการปกครองของตนเอง
นครรัฐสำคัญที่มีบทบาทพัฒนาอารยธรรมด้านการปกครอง ได้แก่ สปาร์ตาและเอเธนส์
นครรัฐสปาร์ตา มีการปกครองแบบทหารนิยม
คณะผู้ปกครองมีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาด พลเมืองชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 20-60
ปี ต้องถูกฝึกฝนให้เป็นทหาร เรียนรู้วิธีการต่อสู้และเอาตัวรอดในสงคราม
แม้แต่พลเมืองหญิงก็ยังต้องฝึกให้มีสุขภาพแข็งแรงเพื่อเตรียมเป็นมารดาของทหารที่แข็งแกร่งในอนาคต
อนึ่ง พวกสปาร์ตายังต่อต้านความมั่งคั่งฟุ่มเฟือย
เพราะเกรงว่าอำนาจของเงินตราจะทำลายระเบียบวินัยทหาร
รวมทั้งยังไม่สนับสนุนการค้าขายและการสร้างสรรค์ศิลปกรรมใดๆ
การปกครองของพวกสปาร์ตานับเป็นการขัดขวางสิทธิของปัจเจกชน และเป็นต้นกำเนิดของระบอบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
(Totalitarianism)

นครรัฐเอเธนส์ เป็นต้นกำเนิดของรัฐประชาธิปไตย นครรัฐเอเธนส์ปกครองโดยสภาห้าร้อย
ซึ่งได้รับเลือกจากพลเมืองเอเธนส์ที่มีสิทธิออกเสียง
สภานี้มีหน้าที่ตรวจสอบร่างกฎหมายและบริหารการปกครอง นอกจากนี้ยังมีสภาราษฎร
ซึ่งเป็นที่ประชุมของพลเมืองที่มีสิทธิออกเสียงทุกคนและทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมาย
การที่เอเธนส์ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ปัจเจกชน
ทำให้เกิดนักคิดและนักปราชญ์ที่เรียกว่าพวกโซฟิสต์ (Sophists)
สำนักต่างๆ ในสังคมเอเธนส์ แนวคิดและปรัชญาของนักปรัชญาคนสำคัญ
ได้แก่ โซเครติส และเพลโต ยังเป็นหลักปรัชญาของโลกตะวันตกด้วย
2.ความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีก ชาวกรีกได้สร้างสรรค์ความเจริญให้เป็นมรดกแก่ชาวโลกจำนวนมาก
ที่สำคัญได้แก่ ความเจริญด้านศิลปกรรม ปรัชญา การศึกษา วรรณกรรมและวิทยาการต่างๆศิลปกรรม ความเจริญด้านศิลปกรรมเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของอารยธรรมกรีกซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของงานศิลปกรรมของโลก
ส่วนใหญ่เป็นงานสร้างสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความศรัทธาทางศาสนา
โดยสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพบูชาและบวงสรวงเทพเจ้าของตน
ผลงานที่ได้รับการยกย่องมีจำนวนมากที่สำคัญได้แก่ ด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม
จิตรกรรม และศิลปะการแสดงด้านสถาปัตยกรรม ชาวเอเธนส์ได้สร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นให้แก่ชาวโลกจำนวนมาก
ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างอาคารเพื่อกิจกรรมสาธารณะ เช่น วิหาร สนามกีฬา และโรงละคร
ความโดดเด่นของงานสถาปัตยกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใหญ่โตของสิ่งก่อสร้าง
แต่เป็นความงดงามของสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น วิหารพาร์เทนอน (Parthenon)
ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอะโครโพลิส (Acropolis) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีสัดส่วนงดงามทั้งความยาว
ความกว้างและความสูง จัดว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของโลก

ด้านประติมากรรม ผลงานด้านประติมากรรมจัดว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในงานศิลปกรรมของกรีก
ชาวกรีกสร้างงานประติมากรรมจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นเทพเจ้าของกรีก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชาวกรีกยอมรับและเชื่อมั่นคุณค่าของมนุษย์ ผลงานประติมากรรมจึงดูเป็นธรรมชาติ
ลักษณะของสรีระกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคล้ายมนุษย์ที่มีชีวิต ผลงานชิ้นเยี่ยมได้แก่
รูปปั้นเทพเจ้าอะทีนา ที่วิหารพาร์เทนอน และเทพเจ้าซุส ที่วิหารแห่งโอลิมเปีย

รูปปั้นเทพเจ้าอะทีนา

รูปปั้นเทพเจ้าซุส
ด้านจิตรกรรม ที่ปรากฏอยู่ส่วนใหญ่เป็นลวดลายที่เขียนบนเครื่องปั้นดินเผา
เช่น แจกัน คนโท ฯลฯ และจิตรกรรมฝาผนังที่พบในวิหารและกำแพงศิลปะการแสดง ชาวกรีกได้คิดค้นศิลปะการแสดงประเภทต่างๆ
ส่วนใหญ่เป็นการจัดแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีบวงสรวงเทพเจ้าของตน เช่น
ละครกลางแจ้งซึ่งเป็นต้นแบบของการแสดงละครในปัจจุบัน ดนตรีและการละเล่นอื่นๆ
ปรัชญา ความเจริญด้านปรัชญาได้รับการยกย่องว่าเป็นความเจริญรสูงสุดของภูมิปัญญากรีกเช่นเดียวกับความเจริญด้านศิลปกรรม
นักปรัชญากรีกที่มีชื่อเสียงโดดเด่น ได้แก่ โซเครติส เพลโต และอริสโตเติลโซเครติส (Socrates) เกิดที่นครเอเธนส์
มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 469-399 ก่อนคริสต์ศักราช
เขาสอนให้คนใช้เหตุผลและสติปัญญาในการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์
วิธีสอนของเขาซึ่งเรียกว่า “Socretic method” ไม่เน้นการท่องจำ
แต่ใช้วิธีตั้งคำถามโดยไม่ต้องการคำตอบ
แต่ให้ผู้ถูกถามขบคิดปัญหาเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง
แม้โซเครติสจะสั่งสอนลูกศิษย์มากมาย แต่ก็ไม่เคยมีผลงานเขียนของตนเอง
ดังนั้นปรัชญาและทฤษฎีของเขาที่รู้จักกันสืบมาจึงเป็นผลงานที่ถ่ายทอดโดยลูกศิษย์ของเขา

เพลโต
(Plato) เป็นศิษย์เอกของโซเครติส
เกิดที่นครเอเธนส์ประมาณ 429 ปีก่อนคริสต์ศักราชและเป็นผู้ถ่ายทอดหลักการและความคิดของโซเครติสให้ชาวโลกได้รับรู้
เพลโตได้เปิดโรงเรียนชื่อ “อะแคเดอมี” (Academy) และได้เขียนหนังสือที่สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการปกครอง การศึกษา ระบบยุติธรรม
ผลงานที่โดนเด่นและทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่คือหนังสือชื่อ
สาธารณรัฐ (Republic) ซึ่งเสนอแนวคิดในการปกครองประเทศและมีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมือง
ของผู้คนทั่วโลก

อริสโตเติล (Aristotle) เป็นทั้งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์
เขาเป็นศิษย์ที่ชาญฉลาดของเพลโตและเคยเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย
อริสโตเติลเป็นทั้งปราชญ์และนักวิจัยที่มีความสนใจหลากหลาย นอกจากปรัชญาทางการเมืองแล้ว
เขายังสนใจวิทยาการใหม่ๆ อีกมาก เช่น ชีววิทยา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ หลักตรรกศาสตร์
วาทกรรม จริยศาสตร์ ฯลฯ ผลงานที่โดดเด่นของเขาคือหนังสือชื่อ การเมือง (Politics)
ซึ่งเป็นการวิจัยรูปแบบการปกครองของนครรัฐต่างๆ ถึง 150 แห่ง

การศึกษา การศึกษามีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวกรีก
เพราะทำให้มีสถานะที่ดีในสังคม
ผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงจะมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครอง โดยเฉพาะชาวเอเธนส์เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ถ้าหากผู้นำมีการศึกษา
ดังนั้นจึงจัดการศึกษาขั้นประถมให้แก่เด็กชายโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน

วิชาที่สอนในระดับประถมศึกษา ได้แก่
ไวยากรณ์กรีก ซึ่งรวมถึงมหากาพย์ อีเลียด (Iliad) และ โอเดสซี (Odyssey)
ของโฮเมอร์ (Homer) ดนตรี และยิมนาสติก
หลักสูตรนี้เน้นการฝึกฝนความรู้ด้านภาษา อารมณ์ และความแข็งแกร่งของร่างกาย
ส่วนเด็กโตจะศึกษาวิชากวีนิพนธ์ การปกครอง จริยศาสตร์ ตรีโกณมิติ ดาราศาสตร์
วาทกรรม เมื่อสำเร็จหลักสูตรแล้ว เยาวชนชายเหล่านี้ก็มีความสมบูรณ์ทั้งสติปัญญาและร่างกายและพร้อมเป็นพลเมืองกรีกเมื่ออายุครบ
19 ปี
วิธีจัดหลักสูตรที่สร้างความพร้อมให้แก่พลเมืองทั้งด้านสติปัญญา
อารมณ์ และร่างกายนี้
เป็นแบบอย่างที่นักการศึกษาของโลกตะวันตกนำมาพัฒนาใช้จนถึงปัจจุบัน
วรรณกรรม วรรณกรรมของกรีกได้รับการยกย่องอยู่ในกลุ่มวรรณกรรมที่ดีที่สุดของโลก
วรรณกรรมที่โดดเด่นได้แก่ มหากาพย์ของโฮเมอร์เรื่อง อีเลียด และ โอเดสซี
ซึ่งแต่งขึ้นประมาณช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช
เพื่อสะท้อนความรู้สึกของกวีต่อโศกนาฏกรรมในสงครามกรุงทรอย (Troy) นอกจากความงดงามของภาษาและการดำเนินเรื่องแล้ว
มหากาพย์ทั้งสองเรื่องนี้ยังให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวิถีชีวิต
ประเพณีและความคิดของชาวกรีกในช่วง 1000-700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
นอกจากผลงานที่ยิ่งใหญ่นี้แล้ว
กรีกยังมีผลงานด้านวรรณกรรมอีกจำนวนมาก เช่น โศลก กวีนิพนธ์ วรรณคดี และบทละคร
ซึ่งมีทั้งประเภทโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม
จัดเป็นต้นแบบของการแสดงละครของชาวตะวันตกที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบันความเจริญของวิทยาการต่างๆ กรีกเป็นต้นแบบของโลกตะวันตกในการพัฒนาความเจริญด้านวิทยาการต่างๆ
ประวัติศาสตร์ กรีกเป็นชาติแรกในโลกตะวันตกที่เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ตามแบบวิธีการทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้แก่
การสืบค้นข้อมูล การตรวจสอบหลักฐาน และการเลือกใช้ข้อมูล
นักประวัติศาสตร์กรีกคนแรกที่เริ่มเขียนงานประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้คือ เฮโรโดตัส (Herodotus) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก นอกจากนี้ยังมี
ทูซิดิดีส (Thucydides) นักประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องด้านการสร้างผลงานทางประวัติศาสตร์และมาตรฐานของวิธีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์
ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เจริญรุ่งเรืองมากตั้งแต่
400 ปีก่อนคริสต์ศักราช
นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกค้นพบทฤษฎีทางเรขาคณิตและพีชคณิต
ซึ่งเป็นพื้นฐานของการคำนวณและประมวลผลขั้นสูง
นอกจากนี้กรีกยังมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีอริสโตเติลเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์
สัตวแพทย์ และกายวิภาค
ด้านการแพทย์ ฮิปโปเครตีส
(Hippocrates) เป็นแพทย์ชาวกรีกที่มีชื่อเสียง
และค้นพบว่าโรคร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากธรรมชาติไม่ใช่การลงโทษลงพระเจ้า
เชื่อว่าวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการควบคุมด้านโภชนาการและการพักผ่อน นอกจากนี้
ฮิปโปเครตีสยังเป็นผู้ริเริ่มวิธีการรักษาโรคด้วยการผ่าตัด
และกำหนดหลักจรรยาแพทย์ที่ถือปฏิบัติต่อมาจนถึงปัจจุบันดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ความก้าวหน้าด้านคณิตศาสตร์
ช่วยให้นักดาราศาสตร์ชาวกรีกคำนวณตำแหน่งของดวงดาวและระบบสุริยจักรวาล นักดาราศาสตร์กรีกบางคนเชื่อว่าโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นหมุนรอบดวงอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวให้ชาวกรีกยอมรับการค้นพบนี้ อนึ่ง
นักภูมิศาสตร์กรีกยังเชื่อว่าโลกกลมซึ่งทำให้สามารถเดินเรือจากกรีกไปถึงอินเดียได้
รวมทั้งยังค้นพบว่าการขึ้นลงของกระแสน้ำเกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์
ที่มา : www.thaigoodview.com/node/86490
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น