วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

การเมืองในอังกฤษ





 วิวัฒนาการของอำนาจทางการเมืองในอังกฤษ


        การเมืองในอังกฤษขณะนี้ชักจะยุ่งกันใหญ่ เพราะปกติการปกครองระบบรัฐสภาของอังกฤษนั้น ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองเป็นหัวใจอย่างหนึ่งของระบอบการปกครอง การออกเสียงในสภา เมื่อพรรคมีมติอย่างไร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องลงมติตามที่พรรคได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้คือ นายเดวิด คาเมรอน ได้ประกาศนโยบายผ่านทางพระราชกระแสเปิดสมัยการประชุมรัฐสภาของ สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ไม่ได้กล่าวถึงนโยบายว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายให้มีการลงประชามติว่าอังกฤษจะยังคงเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปหรือไม่

มีข่าวว่า สมาชิกพรรคอนุรักษนิยมกว่า 100 คน ในสภาผู้แทนราษฎร จะไม่ลงมติรับรองนโยบายของรัฐบาลที่ปรากฏในพระราชกระแสเปิดสภา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยจะมีในประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษ

ความคิดที่แตกแยกเป็นสองฝ่ายว่าอังกฤษควรจะอยู่กับสหภาพยุโรปต่อไปหรือไม่ เป็นคลื่นใต้น้ำในพรรคอนุรักษนิยมเรื่อยมาตั้งแต่ประชาชนอังกฤษได้ลงประชามติ อนุมัติให้รัฐบาลเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป

ส.ส.จอห์น บารอน แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ปรากฏในพระราชกระแสเปิดรัฐสภาว่ารัฐบาลจะให้มีการลงประชามติว่าอังกฤษจะคงยังอยู่ในสหภาพยุโรปหรือไม่

นายกรัฐมนตรีคาเมรอน เป็นหัวหน้ารัฐบาลผสมระหว่างพรรคอนุรักษนิยมทอรีส์กับพรรคเสรีนิยม ซึ่งสนับสนุนให้อังกฤษยังคงอยู่ในสหภาพยุโรป ถ้านายกฯคาเมรอนบรรจุเรื่องจะให้มีประชามติในพระราชกระแสเปิดสภา พรรคเสรีนิยมอาจจะถอนตัวจากรัฐบาล รัฐบาลอาจจะต้องยุบสภาก่อนกำหนด นายกฯคาเมรอนก็เลยไม่พูดเรื่องนี้ แต่จะไปพูดเอาหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปคราวหน้าในปี 2558 ซึ่งจะสร้างความอึมครึมต่อไป

สำหรับประเทศอังกฤษ พระราชกระแสของสมเด็จพระราชินีนาถนั้นเขียนโดยรัฐบาล ดังนั้น พระราชกระแสก็คือนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแจ้งให้รัฐสภาทราบ รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ

ความแตกแยกด้านความคิดในเรื่องนี้ของพรรคอนุรักษนิยม ทำท่าจะบานปลาย ถ้า ส.ส.พรรคอนุรักษนิยมส่วนหนึ่งประกาศจะไม่ลงคะแนนเสียงให้ในการประชุมสภาผู้แทน โดยจะเสนอให้พรรคอนุญาตให้มี "ฟรีโหวต" ในประเด็นที่จะให้กำหนดวันที่ให้มีการลงประชามติ ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ที่ ส.ส.พรรครัฐบาลจะลงมติไม่รับพระราชกระแสที่ร่างโดยรัฐบาล รัฐมนตรีคนสำคัญหลายคนประกาศเข้าข้างนายจอห์น บารอน

หนังสือพิมพ์ในลอนดอนหลายฉบับพาดหัวยักษ์ว่า "เกิดกบฏในพรรคอนุรักษนิยม" หรือ "Tory civil war" หรือ "Tories in Europe turmoil"

ตอนนี้แกนนำของพรรคอนุรักษนิยมหลายคน เป็นนายกเทศมนตรีมหานครลอนดอน นายบอริส จอห์นสัน นายไมเคิล เดฟ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ นางเทเรซา เมย์ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย นายฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ประกาศว่า เขาอาจจะงดออกเสียงให้รัฐบาล ซึ่งเท่ากับไม่ออกเสียงให้รัฐบาล

ความจริงประเด็นเรื่องการจะเข้าหรือไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป มีมาตั้งแต่ในสมัยนายกรัฐมนตรี มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรี "หญิงเหล็ก" ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่นายกฯแทตเชอร์ ก็สามารถได้ประชามติให้อังกฤษเข้าร่วมสหภาพยุโรป

แต่เมื่อสหภาพยุโรปจะก้าวรุดหน้าไปอีกขั้นคือประกาศใช้เงินตราสกุลเดียวกัน โดยทุกประเทศประกาศยกเลิกเงินตราสกุลของตน หันมาใช้เงินยูโรแทน ประชาชนอังกฤษมีประชามติไม่เข้าร่วมใช้เงินยูโร อังกฤษยังคงใช้เงินปอนด์อยู่ตามเดิม เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งคงจะเป็นเรื่องชาตินิยม อีกส่วนหนึ่งคือการร่วมใช้เงินสกุลเดียวกันก็เท่ากับสูญเสียความเป็น "เอกราช" ในด้านนโยบายการเงินของตน

ถ้าจำไม่ผิด ประชาชนและนักการเมืองอังกฤษที่คัดค้านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ก็เพราะว่าก่อนอังกฤษจะเข้าร่วมนั้น ค่าครองชีพ ราคาค่าอาหารของอังกฤษมีระดับต่ำกว่าในยุโรปมาก เพราะพรรคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ของอังกฤษมีสัดส่วนต่อรายได้ประชาชาติต่ำ ขณะที่ในยุโรปภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนต่อรายได้ประชาชาติสูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และอื่นๆ ต่างก็เก็บค่าอากรภาษีการนำเข้าสินค้าเกษตรในอังกฤษสูง เพื่อดันให้ราคาสินค้าเกษตรมีราคาสูง เมื่ออังกฤษเข้าร่วมสหภาพยุโรป อังกฤษก็ต้องตั้งกำแพงภาษีนำเข้าอาหารจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ในอัตราที่สูงด้วย ก็เท่ากับประชาชนชาวอังกฤษต้องจ่ายค่าอาหารแพง เพื่ออุดหนุนเกษตรกรของฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และอื่นๆ ด้วย

แต่ถ้าไม่เข้าร่วมในสมัยนั้น อุตสาหกรรมของอังกฤษก็จะสูญเสียตลาดยุโรปไป สร้างความหนักใจให้คนอังกฤษเป็นอันมาก แม้ว่าอังกฤษจะได้เข้าร่วมกับสหภาพยุโรปแล้ว แต่ประเด็นเรื่องอังกฤษควรจะอยู่หรือออกจากสหภาพยุโรปก็ยังคุกรุ่นเป็นคลื่นใต้น้ำเสมอมา แต่คราวนี้รุนแรงหน่อยเพราะความแตกแยกไปโผล่ที่พรรคอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และมีการประกาศว่าจะเป็น "กบฏภายในพรรคอนุรักษนิยม" หรือ "Tory civil war"

ถ้าเหตุการณ์บานปลาย เกิดเป็นกบฏขึ้นจริงๆ พรรครัฐบาลแพ้การลงคะแนนเสียง โดยสมาชิกพรรคในสภาไม่ลงคะแนนเสียงให้กับแนวนโยบายของรัฐบาลที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงอ่านเมื่อออกเปิดสภา รัฐบาลอาจจะต้องลาออก

หรือแม้แต่ ส.ส.พรรคอนุรักษนิยมจำนวนกว่า 100 เสียง งดออกเสียง ถึงแม้ว่าจะชนะในการลงคะแนนเสียงก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตำรับตำราว่าด้วย "ระบอบการปกครองแบบอังกฤษ" อาจจะต้องทบทวน เพราะไม่เคยมีกรณีอย่างนี้มาก่อน ไม่เหมือนรัฐสภาอเมริกัน ที่สมาชิกรัฐสภาจากพรรครัฐบาลลงคะแนนเสียงค้านรัฐบาลได้

เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปได้ แม้แต่สภาอังกฤษ




อ้างอิง :  www.khaosod.co.th/news_link.php?newsid=1372241228

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น