ศาสนาซิกข์
พิธีรับอมฤต (การบรรพชาของชาวซิกข์
) เป็นสิ่งสำคัญยิ่งแห่งการเป็นชาวซิกข์
โดยทั่วไปจะไม่มีข้อกำหนดอายุขั้นต่ำของการที่จะเข้าพิธีดังกล่าวชาวซิกข์จะให้สัตย์ปฏิญานที่จะรักษา
และปฏิบัติตามข้อบัญ ญัติที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้
ไม่ว่าชายหรือหญิงสัญชาติใดเผ่าพันธุ์ใดหรือมีฐานะอะไรในสังคม
ถ้าตั้งใจมั่นที่จะปฎิบัติตามข้อบัญญัติ
ย่อมมีสิทธิ์ที่จะรับอมฤตและบรรพชาและร่วมในสังคมซิกข์ - ประชาคมซิกข์ .
|
|||
|
|||
สถานที่และพิธีการรับอมฤต :-
|
|||
|
|||
1. สถานที่ที่ประกอบพิธีรับอมฤตต้องเป็นสถานที่ซึ่งจัดขึ้นไว้เฉพาะ
และไม่ควรอยู่ในเส้นทาง เดินผ่านไปมา ของประชาชนทั่วไป
2. ณ.สถานที่นั้นต้องมี
การปัรกาส (คือการอัญเชิญเปิดพระมหาคัมภีร์) พระมหาคัมภีร์ศรีคุรุครันถ์ซาฮิบ
และต้อง มีชาวซิกข์ที่รับอมฤต มาแล้วอย่างน้อยหกท่าน
หนึ่งท่านนั่งหน้าแท่นบัลลังก์ประทับพระมหาคัมภีร์ ส่วนอีกห้าท่าน
ที่เหลือเตรียมอมฤต
ในคณะนี้อาจมีสตรีเป็นสมาชิกร่วมก็ได้โดยทุกท่านต้องสระผมมาด้วย
3. ปัญปีอาเร่(บุคคลทั้งห้าที่กล่าวข้างต้น)นี้
ทุกท่านต้องมีบุคคลิกภาพที่ดีของชาวซิกข์และ ไม่เป็นผู้พิการ
(ตาบอดหรือตาเสียข้างใดข้างหนึ่ง แขนขาพิการหรือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง)
และต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการรับโทษทางศาสนวินัย
บุรุษหรือสตรีไม่ว่ามีเชื้อชาติใด
ศาสนาใด ชาติสกุลใด มีสิทธิที่จะรับอมฤตได้ เมื่อปฏิญาน ตนว่าจะปฏิบัติ ตามศาสนวินัยของศาสนซิกข์ผู้ที่จะรับอมฤตต้องไม่เป็นผู้เยาว์
ต้องมีสติ ทุกคนต้อง สระผมมาด้วยและต้องมีศาสนสัญลักษณ์ทั้งห้า ประการ 5ก (เกศา กีรปาน-พร้อมสายสะพาย กาแชร่า กังฆะ การ่า)
และต้องไม่มีสัญลักษณ์ของความเชื่อถืออื่นใด ต้องมีผ้าคลุมศีรษะและไม่ สวมหมวก
ไม่สวมเครื่องประดับที่เจาะใส่ส่วนใดของร่างกาย ให้ทุกคนยืนพนมมือด้วยความเคารพต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาคุรุครันถ์ซาฮิบ
1. กรณีที่มีผู้กระทำผิดศาสนวินัย
หากประสงค์จะรับอมฤตอีกครั้ง ให้ปัญปีอาเร่แยกบุคคล นั้นออกมา
ทำการพิจารณากล่าวโทษตามศาสนวินัยต่อหน้าศาสนิกชนที่มาชุมนุมขณะนั้น
หนึ่งในปัญปีอาเร่ที่มอบอมฤต
จะอธิบายหลักการที่สำคัญของศาสนซิกข์แก่ผู้ที่จะรับอมฤต:-
1. ศาสนาซิกข์สอนให้ละเว้นจากการบูชาสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาหรือบุคคลผู้ที่อ้างตนเป็นนักบุญ
แต่สอนให้ศรัทธาเชื่อมั่นอุทิศกายและใจแก่พระผู้เป็นเจ้า เพื่อบรรลุแนวปรัชญานึ้
ให้ศึกษาและ ปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนในพระมหาคัมภีร์ ทำเซว่าต่อมวลชน
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ศรัทธาในพระ เป็นเจ้า
และเมื่อรับอมฤตจะต้องประพฤติและตั้งตนในวินัย แล้วจึงถามผู้รับอมฤตว่า
ท่านยินดี ที่จะรับหลักการเหล่านี้ด้วยความสมัครใจหรือไม่
2. หลังจากผู้ที่ประสงค์จะรับอมฤตยอมรับแล้ว
หนึ่งในปัญปีอาเร่จะทำการสวด“อัรฺดาส” และขอพระบัญชาเพื่อเตรียมอมฤต
จากนั้นปัญปีอาเร่มานั่งใกล้ขันที่จะเตรียมอมฤต
3. จะต้องใช้ขันเหล็กกล้า
และวางไว้บนวงแหวนเหล็กหรือสิ่งรองรับอย่างอื่นที่สะอาด
4. ใส่ปตาเซ่(ขนมน้ำตาล)ในน้ำที่บริสุทธิ์
และ ปัญปีอาเร่นั่งรอบขันน้ำในลักษณะ บีรอาซั่น (นั่งในลักษณะคุกเข่าขวา
ให้เข่าขวาแนบกับพื้นโดยให้น้ำหนักของร่างกายลงที่เข่าขวา ส่วนเข่าซ้าย
ตั้งฉากกับพื้น)
และให้สวดบทพระธรรมจากพระคัมภีร์ของศาสนาซิกข์บทต่อไปนี้
(สวดจากความจำ) :-
1. ชัป, ญาป, ซาวัยเอ่ 10
บท(ซราวัก ซุท วาเล่) เบนตี้ จอปาอี
(เริ่มจาก “ฮัมรีกาโรฮาท เดรัจชา” จนถึง
“ดูซัดโดคเตเลโฮบาจาอี”) อนันต์ซาฮิบ
2. ขณะที่แต่ละท่านทำการสวดบทพระธรรมแต่ละบทนั้น
ให้ใช้มือซ้ายจับขอบขันไว้ ส่วนมือ ขวาใช้คันด้ากวนน้ำในขัน ให้มีสมาธิและความตั้งใจในการกระทำดังกล่าว
ส่วนสี่ท่านที่เหลือให้จับ ขอบขันด้วยมือทั้งสองข้างและเพ่งสมาธิในอมฤต
3. เมื่อเสร็จสิ้นการสวดครบทุกบทแล้ว
หนึ่งในปัญจปีอาเร่ลุกขึ้นสวด“อัรฺดาส” (การสวดอธิษฐาน)
4. ผู้ที่ตั้งใจจะรับอมฤตและเข้าร่วมในพิธีตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้นจึงจะรับอมฤต
ส่วนผู้ที่มาระหว่างดำเนินพิธีไม่มีสิทธิ์รับ
5. จากนั้นให้ผู้ที่จะรับอมฤต
น้อมรำลึกถึงองค์พระบิดาพระศาสดาพระองค์ที่สิบ พร้อมทั้งนั่งคุกเข่าขวา “บีร”(นั่งในลักษณะคุกเข่าขวา
ให้เข่าขวาแนบกับพื้นโดยให้น้ำหนักของร่างกายลงที่เข่าขวา
ส่วนเข่าซ้ายตั้งฉากกับพื้น) แล้วดื่มอมฤตในอุ้งมือขวาอยู่บนอุ้งมือซ้าย
โดยปัญปีอาเร่จะเอามือวักใส่อมฤตและกล่าว “วาเฮ่
คุรุญีกาคาลซ่า , วาเฮ่คุรุญีกีฟาเต้” ให้ผู้รับเมื่อดื่มอมฤต แล้วกล่าวขานตามว่า “วาเฮ่คุรุญีกาคาลซ่า วาเฮ่คุรุญีกีฟาเต้” ทุกๆครั้งรวมห้าครั้ง จากนั้นปัญปีอาเร่จะพรมอมฤตใส่ดวงตาห้าครั้ง
และใส่เกศาอีกห้าครั้ง หลังจากจากพรมอมฤตทุกครั้งปัญปีอาเร่จะกล่าว “วาเฮ่คุรุ ญี กา คาลซ่า , วาเฮ่คุรุ ญี กี ฟาเต้” ทุกครั้ง และให้ผู้รับอมฤต กล่าวตามทุกครั้งเช่นกัน อมฤตที่เหลืออยู่ในภาชนะหลังจากมอบให้ผู้ที่ตั้งใจจะรับอมฤตแล้ว
ให้แจกจ่ายแก่ทุกคน (ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ) เพื่อดื่มร่วมกันจากภาชนะขันใบนั้นจากนี้ปัญปีอาเร่ทั้งห้าท่านร่วมกันเปล่งเป็นเสียงเดียว
นาม “วาเฮ่คุรุ” ให้แก่ทุกคนที่ได้ รับอมฤต
แล้วสวดบทมูลมันตระให้ฟังแล้วให้ทุกคนสวดตาม
o “ เอก โองการ ซัตนาม
กัรตา ปุรัค นิร ปาโอห์ นิรแวร์ อกาลมูรัต อญูณี ซาฮิบ ภังห์ คุรุปัรซาต ”
o หนึ่งท่านในปัญปีอาเร่จะแจ้งแก่ผู้รับอมฤตถึงศาสนวินัยของซิกข์
“ตั้งแต่วันนี้ท่าน ได้เริ่มชีวิตใหม่และเข้าร่วมในประชาคมคาลซา
ศาสนบิดาของท่านคือพระศาสดาคุรุโควินท์สิงห์ ศาสนมารดาของ ท่านคือมาตา ซาฮิบกอร์
ถิ่นกำเนิดคือเกศคัรซาฮิบและเป็นชาวเมืองอนันต์ ปุรซาฮิบ
เนื่องจากพวกท่านเป็นบุตรของพระบิดาองค์เดียวกัน
ดังนั้นท่านและชาวซิกข์อื่นๆที่ได้รับอมฤตทั้งหมดจึงเป็นพี่น้องร่วมศาสนากัน
พวกท่านได้ละทิ้งความยึดมั่นในเชื้อชาติ สถานะภาพทางอาชีพ แหล่งกำเนิด
ความเชื่อถือ กล่าวคือจะไม่คำนึงถึงความแตก ต่างในวรรณะชาติสกุล
ฐานะทางสังคมและความเหลื่อมล้ำ ทางอาชีพหรือศาสนาใดที่เคยยึดถือ
โดยให้ถือเป็นคาลซ่าหนึ่งเดียว นอกจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ห้ามบูชานับถือเทพยดา
อวตาร ผู้วิเศษใดๆทั้งสิ้น นอกจากพระศาสดาทั้งสิบพระองค์และพระธรรมของพระองค์
ไม่ให้นับถือผู้ใดเพื่อบรรลุถึงการหลุดพ้น พวกท่านควรเข้าใจภาษาคุรุมุขคี
(ถ้าไม่เข้าใจหรืออ่านออก เขียนไม่ได้ ก็ต้องพยายามศึกษา)
อย่างน้อยทุกวันต้องสวดหรือรับฟังบทสวด นิตเนม ซึ่งประกอบด้วยบทต่อไปนี้ ชับ , ญาป, ซาวัยเอ่ 10 บท (เริ่มต้นด้วย ซาวารัค โสท),
โซดัรวาเฮ่ราส และ
โซเฮ่ล่าให้สวดหรือฟังพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบและรักษาปฏิบัติ “ก” ทั้งห้าคือ เกศา กีรปาน (กริช) กางเกงในขาสั้น หวี
กำไลมือ ให้อยู่กับตัวตลอดเวลา
|
|||
![]() ![]() |
|||
|
|||
การประพฤติปฎิบัติที่ผิดศาสนวินัยของศาสนาซิกข์อย่างร้ายแรงมี 4 ประการคือ
|
|||
๑) ห้ามการกระทำใดที่ล่วงเกินต่อเกศา
(การตัด ถอน โกนเกศาหรือขนในร่างกาย)
๒) ห้ามรับประทานอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยวิธีทรมาน
๓) ห้ามมีเพศสัมพันธ์
ประพฤติผิดทางเพศกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตนเอง
๔) ห้ามเสพยาสูบหรือใช้ยาเสพติดทุกชนิด
ผู้ใดประพฤติผิดศาสนวินัยข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวแล้วข้างต้นจะต้องรับอมฤตใหม่
ยกเว้นการประพฤติปฏิบัตินั้น กระทำไปโดยไม่มีเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
ห้ามคบค้าสมาคมกับชาวซิกข์ที่ตัดผมหรือชาวซิกข์ที่สูบบุหรี่
เตรียมตนให้พร้อมที่จะทำเซว่าต่อ
คุรุดวาราและสังคมตลอดเวลา สละสิบเปอร์เซ็นของรายได้สุทธิเพื่อมอบแก่ส่วนรวม และ ดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งพระศาสดา
ให้ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตของศาสนวินัยและมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวในหมู่คณะ
หากกระทำผิดศาสนวินัยให้สารภาพต่อที่ชุมนุมเจริญธรรมและเต็มใจรับโทษทางวินัย
ให้สำรวม ระมัดระวังอย่ากระทำผิดอีกในอนาคต
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น