วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

ศาสนาซิกข์


ศาสนาซิกข์

พิธีรับอมฤต (การบรรพชาของชาวซิกข์ ) เป็นสิ่งสำคัญยิ่งแห่งการเป็นชาวซิกข์ โดยทั่วไปจะไม่มีข้อกำหนดอายุขั้นต่ำของการที่จะเข้าพิธีดังกล่าวชาวซิกข์จะให้สัตย์ปฏิญานที่จะรักษา และปฏิบัติตามข้อบัญ ญัติที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้ ไม่ว่าชายหรือหญิงสัญชาติใดเผ่าพันธุ์ใดหรือมีฐานะอะไรในสังคม ถ้าตั้งใจมั่นที่จะปฎิบัติตามข้อบัญญัติ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะรับอมฤตและบรรพชาและร่วมในสังคมซิกข์ - ประชาคมซิกข์ .  


ภาพแสดงศาสนิกชนขณะรับอมฤตที่เตรียมตามศาสนวินัยซิกจ์จาก “ปัญจปิอาเร่"


สถานที่และพิธีการรับอมฤต :-


1.         สถานที่ที่ประกอบพิธีรับอมฤตต้องเป็นสถานที่ซึ่งจัดขึ้นไว้เฉพาะ และไม่ควรอยู่ในเส้นทาง เดินผ่านไปมา           ของประชาชนทั่วไป
2.           ณ.สถานที่นั้นต้องมี การปัรกาส (คือการอัญเชิญเปิดพระมหาคัมภีร์) พระมหาคัมภีร์ศรีคุรุครันถ์ซาฮิบ และต้อง   มีชาวซิกข์ที่รับอมฤต มาแล้วอย่างน้อยหกท่าน หนึ่งท่านนั่งหน้าแท่นบัลลังก์ประทับพระมหาคัมภีร์ ส่วนอีกห้าท่าน ที่เหลือเตรียมอมฤต ในคณะนี้อาจมีสตรีเป็นสมาชิกร่วมก็ได้โดยทุกท่านต้องสระผมมาด้วย
3.         ปัญปีอาเร่(บุคคลทั้งห้าที่กล่าวข้างต้น)นี้ ทุกท่านต้องมีบุคคลิกภาพที่ดีของชาวซิกข์และ ไม่เป็นผู้พิการ (ตาบอดหรือตาเสียข้างใดข้างหนึ่ง แขนขาพิการหรือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง) และต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการรับโทษทางศาสนวินัย
บุรุษหรือสตรีไม่ว่ามีเชื้อชาติใด ศาสนาใด ชาติสกุลใด มีสิทธิที่จะรับอมฤตได้ เมื่อปฏิญาน ตนว่าจะปฏิบัติ ตามศาสนวินัยของศาสนซิกข์ผู้ที่จะรับอมฤตต้องไม่เป็นผู้เยาว์ ต้องมีสติ ทุกคนต้อง สระผมมาด้วยและต้องมีศาสนสัญลักษณ์ทั้งห้า ประการ 5 (เกศา กีรปาน-พร้อมสายสะพาย กาแชร่า กังฆะ การ่า) และต้องไม่มีสัญลักษณ์ของความเชื่อถืออื่นใด ต้องมีผ้าคลุมศีรษะและไม่ สวมหมวก ไม่สวมเครื่องประดับที่เจาะใส่ส่วนใดของร่างกาย  ให้ทุกคนยืนพนมมือด้วยความเคารพต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาคุรุครันถ์ซาฮิบ
1.  กรณีที่มีผู้กระทำผิดศาสนวินัย หากประสงค์จะรับอมฤตอีกครั้ง ให้ปัญปีอาเร่แยกบุคคล นั้นออกมา ทำการพิจารณากล่าวโทษตามศาสนวินัยต่อหน้าศาสนิกชนที่มาชุมนุมขณะนั้น

หนึ่งในปัญปีอาเร่ที่มอบอมฤต จะอธิบายหลักการที่สำคัญของศาสนซิกข์แก่ผู้ที่จะรับอมฤต:-
1.   ศาสนาซิกข์สอนให้ละเว้นจากการบูชาสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาหรือบุคคลผู้ที่อ้างตนเป็นนักบุญ แต่สอนให้ศรัทธาเชื่อมั่นอุทิศกายและใจแก่พระผู้เป็นเจ้า เพื่อบรรลุแนวปรัชญานึ้ ให้ศึกษาและ ปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนในพระมหาคัมภีร์ ทำเซว่าต่อมวลชน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ศรัทธาในพระ เป็นเจ้า และเมื่อรับอมฤตจะต้องประพฤติและตั้งตนในวินัย แล้วจึงถามผู้รับอมฤตว่า ท่านยินดี ที่จะรับหลักการเหล่านี้ด้วยความสมัครใจหรือไม่
2. หลังจากผู้ที่ประสงค์จะรับอมฤตยอมรับแล้ว หนึ่งในปัญปีอาเร่จะทำการสวดอัรฺดาสและขอพระบัญชาเพื่อเตรียมอมฤต จากนั้นปัญปีอาเร่มานั่งใกล้ขันที่จะเตรียมอมฤต
3.       จะต้องใช้ขันเหล็กกล้า และวางไว้บนวงแหวนเหล็กหรือสิ่งรองรับอย่างอื่นที่สะอาด
4.     ใส่ปตาเซ่(ขนมน้ำตาล)ในน้ำที่บริสุทธิ์ และ ปัญปีอาเร่นั่งรอบขันน้ำในลักษณะ บีรอาซั่น (นั่งในลักษณะคุกเข่าขวา ให้เข่าขวาแนบกับพื้นโดยให้น้ำหนักของร่างกายลงที่เข่าขวา ส่วนเข่าซ้าย ตั้งฉากกับพื้น)
และให้สวดบทพระธรรมจากพระคัมภีร์ของศาสนาซิกข์บทต่อไปนี้ (สวดจากความจำ) :-
1.     ชัป, ญาป, ซาวัยเอ่ 10 บท(ซราวัก ซุท วาเล่)  เบนตี้ จอปาอี (เริ่มจาก ฮัมรีกาโรฮาท เดรัจชาจนถึง   “ดูซัดโดคเตเลโฮบาจาอี”)   อนันต์ซาฮิบ
2.      ขณะที่แต่ละท่านทำการสวดบทพระธรรมแต่ละบทนั้น ให้ใช้มือซ้ายจับขอบขันไว้ ส่วนมือ ขวาใช้คันด้ากวนน้ำในขัน ให้มีสมาธิและความตั้งใจในการกระทำดังกล่าว ส่วนสี่ท่านที่เหลือให้จับ ขอบขันด้วยมือทั้งสองข้างและเพ่งสมาธิในอมฤต
3.       เมื่อเสร็จสิ้นการสวดครบทุกบทแล้ว หนึ่งในปัญจปีอาเร่ลุกขึ้นสวดอัรฺดาส” (การสวดอธิษฐาน)
4. ผู้ที่ตั้งใจจะรับอมฤตและเข้าร่วมในพิธีตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้นจึงจะรับอมฤต ส่วนผู้ที่มาระหว่างดำเนินพิธีไม่มีสิทธิ์รับ
5.   จากนั้นให้ผู้ที่จะรับอมฤต น้อมรำลึกถึงองค์พระบิดาพระศาสดาพระองค์ที่สิบ พร้อมทั้งนั่งคุกเข่าขวา บีร(นั่งในลักษณะคุกเข่าขวา ให้เข่าขวาแนบกับพื้นโดยให้น้ำหนักของร่างกายลงที่เข่าขวา ส่วนเข่าซ้ายตั้งฉากกับพื้น) แล้วดื่มอมฤตในอุ้งมือขวาอยู่บนอุ้งมือซ้าย โดยปัญปีอาเร่จะเอามือวักใส่อมฤตและกล่าว วาเฮ่ คุรุญีกาคาลซ่า , วาเฮ่คุรุญีกีฟาเต้ ให้ผู้รับเมื่อดื่มอมฤต แล้วกล่าวขานตามว่า วาเฮ่คุรุญีกาคาลซ่า  วาเฮ่คุรุญีกีฟาเต้ ทุกๆครั้งรวมห้าครั้ง จากนั้นปัญปีอาเร่จะพรมอมฤตใส่ดวงตาห้าครั้ง และใส่เกศาอีกห้าครั้ง หลังจากจากพรมอมฤตทุกครั้งปัญปีอาเร่จะกล่าว วาเฮ่คุรุ ญี กา คาลซ่า , วาเฮ่คุรุ ญี กี ฟาเต้ ทุกครั้ง และให้ผู้รับอมฤต กล่าวตามทุกครั้งเช่นกัน  อมฤตที่เหลืออยู่ในภาชนะหลังจากมอบให้ผู้ที่ตั้งใจจะรับอมฤตแล้ว ให้แจกจ่ายแก่ทุกคน (ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ) เพื่อดื่มร่วมกันจากภาชนะขันใบนั้นจากนี้ปัญปีอาเร่ทั้งห้าท่านร่วมกันเปล่งเป็นเสียงเดียว นาม วาเฮ่คุรุ  ให้แก่ทุกคนที่ได้ รับอมฤต แล้วสวดบทมูลมันตระให้ฟังแล้วให้ทุกคนสวดตาม
o    เอก โองการ ซัตนาม กัรตา ปุรัค นิร ปาโอห์ นิรแวร์ อกาลมูรัต อญูณี ซาฮิบ ภังห์ คุรุปัรซาต
o    หนึ่งท่านในปัญปีอาเร่จะแจ้งแก่ผู้รับอมฤตถึงศาสนวินัยของซิกข์ ตั้งแต่วันนี้ท่าน ได้เริ่มชีวิตใหม่และเข้าร่วมในประชาคมคาลซา ศาสนบิดาของท่านคือพระศาสดาคุรุโควินท์สิงห์ ศาสนมารดาของ ท่านคือมาตา ซาฮิบกอร์ ถิ่นกำเนิดคือเกศคัรซาฮิบและเป็นชาวเมืองอนันต์ ปุรซาฮิบ เนื่องจากพวกท่านเป็นบุตรของพระบิดาองค์เดียวกัน ดังนั้นท่านและชาวซิกข์อื่นๆที่ได้รับอมฤตทั้งหมดจึงเป็นพี่น้องร่วมศาสนากัน พวกท่านได้ละทิ้งความยึดมั่นในเชื้อชาติ สถานะภาพทางอาชีพ แหล่งกำเนิด ความเชื่อถือ กล่าวคือจะไม่คำนึงถึงความแตก ต่างในวรรณะชาติสกุล ฐานะทางสังคมและความเหลื่อมล้ำ ทางอาชีพหรือศาสนาใดที่เคยยึดถือ โดยให้ถือเป็นคาลซ่าหนึ่งเดียว นอกจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ห้ามบูชานับถือเทพยดา อวตาร ผู้วิเศษใดๆทั้งสิ้น นอกจากพระศาสดาทั้งสิบพระองค์และพระธรรมของพระองค์ ไม่ให้นับถือผู้ใดเพื่อบรรลุถึงการหลุดพ้น พวกท่านควรเข้าใจภาษาคุรุมุขคี (ถ้าไม่เข้าใจหรืออ่านออก เขียนไม่ได้ ก็ต้องพยายามศึกษา) อย่างน้อยทุกวันต้องสวดหรือรับฟังบทสวด นิตเนม ซึ่งประกอบด้วยบทต่อไปนี้ ชับ , ญาป, ซาวัยเอ่ 10 บท (เริ่มต้นด้วย ซาวารัค โสท), โซดัรวาเฮ่ราส และ โซเฮ่ล่าให้สวดหรือฟังพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบและรักษาปฏิบัติ ทั้งห้าคือ  เกศา   กีรปาน  (กริช) กางเกงในขาสั้น   หวี  กำไลมือ  ให้อยู่กับตัวตลอดเวลา


การประพฤติปฎิบัติที่ผิดศาสนวินัยของศาสนาซิกข์อย่างร้ายแรงมี 4 ประการคือ
๑)      ห้ามการกระทำใดที่ล่วงเกินต่อเกศา (การตัด ถอน โกนเกศาหรือขนในร่างกาย)
๒)     ห้ามรับประทานอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยวิธีทรมาน
๓)     ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ประพฤติผิดทางเพศกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตนเอง 
๔)     ห้ามเสพยาสูบหรือใช้ยาเสพติดทุกชนิด

  ผู้ใดประพฤติผิดศาสนวินัยข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวแล้วข้างต้นจะต้องรับอมฤตใหม่ ยกเว้นการประพฤติปฏิบัตินั้น กระทำไปโดยไม่มีเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
   ห้ามคบค้าสมาคมกับชาวซิกข์ที่ตัดผมหรือชาวซิกข์ที่สูบบุหรี่   เตรียมตนให้พร้อมที่จะทำเซว่าต่อ คุรุดวาราและสังคมตลอดเวลา สละสิบเปอร์เซ็นของรายได้สุทธิเพื่อมอบแก่ส่วนรวม และ ดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งพระศาสดา
  ให้ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตของศาสนวินัยและมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวในหมู่คณะ หากกระทำผิดศาสนวินัยให้สารภาพต่อที่ชุมนุมเจริญธรรมและเต็มใจรับโทษทางวินัย ให้สำรวม ระมัดระวังอย่ากระทำผิดอีกในอนาคต


อ้างอิง : www.indiaindream.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น